ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. พีทีจี เอ็นเนอยี” ที่ “BBB+”, แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 31, 2023 11:36 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน เครื่อข่ายสถานีบริการที่กว้างขวาง และผลประกอบการที่ฟื้นตัว ในทางกลับกัน อันดับเครดิตถูกลดทอนจากเงินลงทุนที่สูงและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดค้าปลีกน้ำมัน รวมถึงความอ่อนไหวของบริษัทต่อนโยบายของรัฐบาลในการควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันด้วย

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สถานะทางการตลาดในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน

อันดับเครดิตพิจารณาจากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน การขยายเครือข่ายสถานีบริการ ?PT? จำนวนมากช่วยให้ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทในแง่ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นจาก 11% ในปี 2560 เป็น 16.7% ในปี 2564 ตามข้อมูลของทริสเรทติ้ง การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของสถานีบริการโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาช่วยส่งเสริมสถานะทางการตลาดของบริษัทและเพิ่มการรับรู้แบรนด์อย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนแบ่งตลาดของบริษัทอยู่ที่ 16% ในปี 2565 ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเป็นผู้ค้าปลีกน้ำมันรายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศไทย ทั้งนี้ ตำแหน่งทางการตลาดของบริษัทจะเลื่อนไปอยู่ที่อันดับ 3 หากแผนของ บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BCP) ในการเข้าซื้อกิจการของ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ESSO) เสร็จสิ้น

เครือข่ายการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง

เครือข่ายสถานีบริการ PT ยังคงอยู่ในอันดับที่ 2 โดยจำนวนสถานีขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้น 62 สถานีเป็น 2,149 สถานีในปี 2565 ซึ่งใกล้เคียงกับผู้นำตลาด บริษัทได้ขยายสถานีบริการที่บริษัทเป็นเจ้าของและดำเนินการ (Company Owned Company Operated -- COCO) อย่างระมัดระวังตั้งแต่ปี 2563 ส่วนหนึ่งมาจากความไม่แน่นอนของตลาดที่เกิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด 19) ที่ยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม จำนวนสถานีซึ่งตัวแทนจำหน่ายเป็นเจ้าของและดำเนินการ (Dealer Owned Dealer Operated -- DODO) นั้นยังคงเพิ่มขึ้นและคิดเป็นสัดส่วน 52% ของสถานีใหม่ในปี 2565 ทั้งนี้ สัดส่วน DODO ต่อสถานีบริการทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 16% ในปี 2565 จาก 13% ในปี 2561

เมื่อมองไปข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าสัดส่วนของ DODO จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการรับรู้แบรนด์ที่เพิ่มขึ้นบริษัทจึงพยายามที่จะเพิ่ม DODO ให้มากขึ้นอีกในไม่กี่ปีข้างหน้าเพื่อที่จะยังคงขยายเครือข่ายการขายด้วยการใช้เงินลงทุนอย่างรอบคอบ

นอกเหนือจากการขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง บริษัทยังปรับปรุงระบบสมาชิกอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะกระตุ้นยอดขายผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของกลุ่มบริษัท และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดจากคู่แข่งทั้งในกลุ่มธุรกิจน้ำมันและไม่ใช่น้ำมัน ในส่วนของบัตร ?PT Max Card? ซึ่งให้ส่วนลดและรางวัลตามการ

สะสมคะแนนสำหรับสมาชิกนั้นมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 18.9 ล้านคนในปี 2565 จาก 16.9 ล้านคนในปี 2564 นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดตัวบัตร ?PT Max card plus? สำหรับสมาชิกที่ชำระเงินโดยให้สิทธิพิเศษแก่สมาชิกและเสนอส่วนลดที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการของกลุ่มบริษัททั้งหมดเพื่อที่จะช่วยเพิ่มยอดขายได้เพิ่มเติม

การฟื้นตัวของปริมาณการขายและกำไรขั้นต้นต่อลิตร

ปริมาณการใช้น้ำมันในตลาดค้าปลีกในประเทศฟื้นตัวขึ้น 11% ในปี 2565 หลังจากการยกเลิกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด 19 ในขณะที่ปริมาณการขายปลีกของบริษัทเพิ่มขึ้น 6.5% ในขณะเดียวกัน กำไรขั้นต้นต่อลิตรจากการขายปลีกน้ำมันของบริษัทก็ฟื้นตัวเป็น 1.85 บาทในปี 2565 จาก 1.77 บาทในปี 2564 ทั้งนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 5.8 พันล้านบาทในปี 2565 จาก 5.2 พันล้านบาทในปี 2564

การขยายตัวอย่างรวดเร็วในธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน

ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันของบริษัทซึ่งรวมถึงก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และกาแฟ ?พันธุ์ไทย? เติบโตอย่างแข็งแกร่ง กำไรขั้นต้นจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันในปี 2565 พุ่งสูงขึ้น 49% โดยมีสัดส่วน 19% ของกำไรขั้นต้นของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 15% ในปี 2564 โดยระบบสิทธิเศษแก่สมาชิกมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน

ในปี 2565 ปริมาณขาย LPG สำหรับรถยนต์เพิ่มขึ้น 71% เนื่องจากราคาน้ำมันสูงขึ้นมาก นอกจากนี้ บริษัทยังสนับสนุนการติดตั้งถัง LPG ในรถแท็กซี่ด้วยความคาดหวังการใช้ LPG เพิ่มขึ้นในอนาคต ปริมาณการขาย LPG ของบริษัทในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 43% ในปี 2565 โดยส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากการเพิ่มร้านจำหน่าย LPG เป็น 253 ร้านจาก 171 ร้านในปี 2564 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดมาจากบริษัทอื่น แม้ว่าตลาด LPG โดยรวมคาดว่าจะไม่เติบโตในอนาคตอันใกล้ก็ตาม

ในขณะเดียวกัน ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 49% ในปี 2565 เนื่องจากจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น 53% เป็น 537 สาขาในปี 2565 ทริสเรทติ้งตั้งสมมติฐานว่าบริษัทจะเพิ่มร้านกาแฟประมาณ 200-250 แห่งต่อปีในปี 2566-2568 ทั้งนี้ ความสำเร็จในการขยายธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันด้วยอัตรากำไรที่น่าพอใจจะเป็นผลบวกต่อสถานะเครดิตของบริษัท

อ่อนไหวต่อผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทยังคงมีอ่อนไหวต่อผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับราคาน้ำมันดีเซลเนื่องจากยอดขายของบริษัทส่วนใหญ่มาจากน้ำมันดีเซล ด้วยแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ รัฐบาลจึงได้ดำเนินนโยบายเพื่อจำกัดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลผ่านมาตรการต่าง ๆ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อค่าการตลาดของผู้ค้าปลีกน้ำมัน ทั้งนี้ การฟื้นตัวของค่าการตลาดเริ่มมองเห็นได้ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากรัฐบาลเริ่มผ่อนปรนการแทรกแซงลง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งไม่ได้คาดหวังว่าค่าการตลาดจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลจะยังคงแทรกแซงราคาน้ำมันต่อไปเพื่อลดภาระหนี้สินจำนวนมากของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลง

การแข่งขันยังคงสูง

ทริสเรทติ้งมองว่าการแข่งขันยังคงมีความรุนแรงเนื่องจากผู้ค้าปลีกน้ำมันรายใหญ่ส่วนใหญ่ยังคงขยายสถานีบริการต่อไปท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสถานีบริการน้ำมันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การแข่งขันยังคงรุนแรงยิ่งขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างความภักดีของลูกค้าโดยผู้ค้าปลีกน้ำมันได้หันมาเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ไม่ใช่น้ำมัน การมีร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟกลายมาเป็นมาตรฐานปกติสำหรับสถานีบริการน้ำมันขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ส่วนสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่มักจะมีร้านอาหาร บริการซักรีด บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ และอื่น ๆ ไว้ให้บริการ ดังนั้น ด้วยค่าการตลาดที่ตึงตัวจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับผู้ค้าปลีกในการควบคุมต้นทุนการดำเนินงานในขณะที่ยังคงต้องรักษามาตรฐานการบริการและความสามารถในการแข่งขันควบคู่ไปด้วย

ทริสเรทติ้งมองว่าธุรกิจค้าปลีกน้ำมันของ BCP และ ESSO ที่จะรวมเข้าด้วยกันอาจส่งผลให้การแข่งขันสูงขึ้นแม้ว่าตลาดจะมีผู้ประกอบการหลักน้อยลงก็ตาม โดยมองว่ากำลังการผลิตโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้นของ BCP อาจทำให้ BCP ต้องเร่งขยายธุรกิจค้าปลีกเพิ่มขึ้น ที่สำคัญกว่านั้น BCP จะขยับขึ้นสู่อันดับ 2 ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่มากขึ้นเป็นประมาณ 26% ซึ่งลดช่องว่างระหว่าง BCP กับผู้นำตลาดลง ในขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายส่วนแบ่งตลาดเป็น 25% ในระยะกลาง ซึ่งเกือบจะเท่ากับส่วนแบ่งตลาดของ BCP

คาดว่าผลประกอบการทางการเงินจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ประมาณการกรณีฐานของทริสเรทติ้งคาดการณ์ EBITDA ของบริษัทในปี 2566-2568 จะอยู่ที่ 5.9-6.7 พันล้านบาทต่อปี ปริมาณขายน้ำมันรวมของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 4.5% ต่อปีในช่วงปี 2566-2567 และ 4% ในปี 2568 เมื่อพิจารณาจากระบบสมาชิกที่แข็งแกร่งและจำนวนสถานีน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ทริสเรทติ้งตั้งสมมติฐานค่าการตลาดโดยรวมเฉลี่ย (รวมค้าปลีกและค้าส่ง) อยู่ที่ประมาณ 1.82-1.83 บาทต่อลิตร กำไรขั้นต้นของธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 16%-17% ต่อปีในช่วงปี 2566-2568 โดยได้รับแรงหนุนจากจำนวนร้านค้าปลีกและสถานีบริการ LPG ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงระบบสมาชิกที่แข็งแกร่งที่ให้รางวัลตามคะแนนสะสม

เงินลงทุนที่สูงอาจฉุดการลดลงของอัตราส่วนหนี้สิน

บริษัทใช้เงินลงทุน 2.7 พันล้านบาทในปี 2565 เทียบกับงบประมาณเริ่มต้นที่ 3.0-4.0 พันล้านบาท โดยเงินลงทุนยังคงต่ำกว่าในช่วงปี 2560-2562 มาก เนื่องจากบริษัทพยายามรักษาสภาพคล่องในช่วงที่ตลาดผันผวนและไม่แน่นอน หนี้สินทางการเงินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วของบริษัท (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) ลดลงเหลือ 2.72 หมื่นล้านบาทในปี 2565 จาก 2.81 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ทั้งนี้ เนื่องจาก EBITDA ฟื้นตัวเช่นกัน อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ลดลงเป็น 4.7 เท่าในปี 2565 ขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนก็ลดลงเหลือ 76.7%

เมื่อมองไปข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะเพิ่มเงินลงทุนโดยมุ่งเน้นที่การขยายธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมันและสำหรับธุรกิจใหม่ ๆ โดยประมาณการกรณีฐานของทริสเรทติ้งได้รวมโครงการโรงไฟฟ้าขยะของบริษัทในจังหวัดสงขลาซึ่งได้ผ่านคุณสมบัติสำหรับการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นเวลา 20 ปี ด้วยขนาดกำลังการผลิตตามสัญญา 4.5 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายเงินลงทุนของบริษัทจะอยู่ที่ 3.1-3.4 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568 ด้วยเหตุนี้ ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะคงอยู่ที่ประมาณ 4.7 เท่าในปี 2566 ก่อนจะลดลงเหลือประมาณ 4.2-4.5 เท่าในปี 2567-2568 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ที่ประมาณ 75% ในช่วงประมาณการ

สภาพคล่องที่จัดการได้

ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 2.0 พันล้านบาท และภาระหนี้สินระยะยาวจำนวนรวม 4.4 พันล้านบาทซึ่งจะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้า แหล่งสภาพคล่องของบริษัทประกอบด้วยเงินสดจำนวน 2.1 พันล้านบาทและประมาณการเงินทุนจากการดำเนินงานจำนวน 4.3 พันล้านบาทในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะจัดหาเงินกู้เพื่อทดแทนหนี้ที่จะถึงกำหนดชำระเกือบทั้งหมดเพื่อรองรับการลงทุน และเมื่อพิจารณาถึงธุรกิจของบริษัทที่แข็งแกร่งแล้ว ทริสเรทติ้งมองว่าความเสี่ยงในการหาเงินกู้ทดแทนของบริษัทนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้

โครงสร้างหนี้

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีเงินกู้จากธนาคารและหุ้นกู้จำนวน 8.9 พันล้านบาท ซึ่งรวมถึงหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนเงินก่อนจำนวนประมาณ 2.6 พันล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทย่อย ดังนั้น อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทอยู่ที่ระดับ 29%

?

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? ปริมาณการขายน้ำมันจะเติบโตประมาณ 4.5% ต่อปีในปี 2566-2567 และ 4% ในปี 2568

? ราคาขายน้ำมันจะลดลง 2% ในปี 2566 จากนั้นลดลง 6% และ 7% ในปี 2567-2568 ตามลำดับ

? รายได้จะเพิ่มขึ้น 3% ในปี 2566 และลดลง 2% ต่อปีในปี 2567-2568 เนื่องจากคาดการณ์ราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นหลัก

? ค่าการตลาดน้ำมันโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 1.82-1.83 บาทต่อลิตร

? ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนรวมประมาณ 9.8 พันล้านบาทในช่วงปี 2566-2568

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเอาไว้ได้ด้วยการมีแผนกลยุทธ์ขยายธุรกิจที่มีความรอบคอบ ทริสเรทติ้งยังคาดอีกด้วยว่าระดับหนี้สินทางการเงินและระดับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเมื่อเทียบกับภาระหนี้ของบริษัทนั้นจะยังคงอยู่ในระดับที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถลดระดับหนี้สินลงได้เร็วกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างเห็นได้ชัดซึ่งอาจเกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดีกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่อย่างน้อยก็ยังคงรักษาสถานะทางการตลาดที่ระดับเดิมไว้ได้ ในทางกลับกัน แรงกดดันต่ออันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นในกรณีที่สถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงเป็นอย่างมากจากการที่บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญหรือบริษัทมีการลงทุนที่ใช้การก่อหนี้ในระดับสูงมาก

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

PTG242A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+

PTG252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ