ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “ธ. เกียรตินาคินภัทร” ที่ “A”, และอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ที่ “BBB+”, แนวโน้ม “Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday April 18, 2023 10:32 —ทริส เรตติ้ง

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

ธุรกิจการให้สินเชื่อกับลูกค้ารายย่อยมีความเข้มแข็งขึ้น

ธนาคารเกียรตินาคินภัทรยังคงเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ (Hire Purchase) ของธนาคารโดยการขยายพอร์ตสินเชื่ออย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะยังคงรักษาการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในกลุ่มลูกค้ารายย่อยในช่วง 3 ปีข้างหน้า สินเชื่อที่มีหลักประกัน ซึ่งประกอบด้วยสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะยังคงเป็นแรงหนุนการเติบโตของสินเชื่อที่สำคัญ

ในปี 2565 ธนาคารเกียรตินาคินภัทรรายงานการเติบโตของสินเชื่อ 21.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ระดับ 15.6% ในปี 2564 การเติบโตในปี 2565 ขับเคลื่อนโดยการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญของสินเชื่อรถยนต์มือสอง รวมถึงสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรถยนต์ใหม่ในลำดับถัดมา อัตราการเข้าถึงลูกค้าในกลุ่มรถยนต์ใหม่ของธนาคารเกียรตินาคินภัทรในปี 2565 เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่ามาอยู่ที่ 5.3% เทียบกับระดับ 2.2% ในปี 2562 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับปรุงกระบวนการทำงานและการขยายไปสู่แบรนด์ที่มีความเสี่ยงต่ำและกลุ่มลูกค้าใหม่ ในอนาคตธนาคารมีเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าในกลุ่มรถยนต์ใหม่เพื่อให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ภายใต้แบรนด์ ?รถเรียกเงิน? ที่มีการปรับภาพลักษณ์ใหม่เมื่อไม่นานมานี้

การเพิ่มทุนเพื่อรองรับการเติบโต

ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะรักษาสถานะเงินกองทุนให้อยู่ที่ระดับ ?เพียงพอ? ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของของธนาคารอยู่ที่ 13.3% ณ สิ้นปี 2565 ลดลงจาก 14.3% ณ สิ้นปี 2563 โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งในปี 2564-2565 ในกรณีฐานทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของของธนาคารจะอยู่ในช่วง 12% ในปี 2566-2568 ซึ่งยังคงช่วยสนับสนุนอันดับเครดิตที่ระดับปัจจุบัน

การเพิ่มความแข็งแกร่งของเงินทุนเพื่อให้อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของอยู่ที่ระดับสูงกว่า 12% อาจมาจากการเพิ่มทุนจากความเป็นไปได้ในการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ ซึ่งธนาคารเกียรตินาคินภัทรคาดว่าจะได้รับเงินทุนสูงถึง 1.43 หมื่นล้านบาทในช่วง 4 ปีข้างหน้า สมมติฐานกรณีฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าสินเชื่อจะเติบโตปานกลางที่ระดับ 10%-15% ต่อปี การจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 50% และไม่รวมการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิ

ความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งสนับสนุนการสร้างทุน

ผลการดำเนินงานของธนาคารเกียรตินาคินภัทรในปี 2565 เหนือกว่าการคาดการณ์ของทริสเรทติ้ง โดยธนาคารรายงานกำไรสุทธิที่ 7.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 19.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า การเติบโตของกำไรเป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อในระดับสูง การควบคุมต้นทุนที่ดี และการลดค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองซึ่งช่วยชดเชยกิจกรรมในตลาดทุนที่อ่อนแอลง อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารเกียรตินาคินภัทรในปี 2565 อยู่ที่ระดับใกล้เคียงเดิมที่ 1.61% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 1.01% ในช่วงเวลาเดียวกัน ธนาคารบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้อยู่ที่ 41.1% ซึ่งต่ำที่สุดในบรรดาธนาคารพาณิชย์ของไทย

ทริสเรทติ้งคาดว่าธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรที่ดีต่อไปในอีก 3 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีแรงกดดันด้านต้นทุนทางการเงินและค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของธนาคารจะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ในช่วง 1.25%-1.37% ในปี 2566-2568 กรณีฐานของทริสเรทติ้งมองว่าอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin) ของธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะอยู่ในช่วง 3.8%-4.0% ในปี 2566-2568 ลดลงเล็กน้อยจาก 4.4% ในปี 2565 การลดลงดังกล่าวเป็นผลมาจากการกลับมาเก็บเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (The Financial Institutions Development Fund ? FIDF) จากเงินฝากที่ระดับปกติอีกครั้งและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าต้นทุนด้านเครดิตของธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะอยู่ที่ระดับ 1.8%-2.2% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยพิจารณาจากคุณภาพสินทรัพย์ที่อาจอ่อนแอลง

?

คุณภาพสินทรัพย์ได้รับแรงกดดัน

ในมุมมองของทริสเรทติ้ง ธนาคารเกียรตินาคินภัทรมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับการอ่อนแอลงของคุณภาพสินทรัพย์ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ โดยเป็นผลมาจากกลยุทธ์การเติบโตเชิงรุกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (Non-performing Loans ? NPL) จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 3.3% ณ สิ้นปี 2565 จากระดับ 3.1% ณ สิ้นปี 2564 แต่สินเชื่อที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (Stage-2 Loans) เพิ่มขึ้นในระดับที่มากกว่าเป็น 6.1% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2565 จากระดับ 5.6% ณ สิ้นปี 2564 อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดการณ์ว่าอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมของธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะอยู่ต่ำกว่า 4% ในปี 2566-2568 จากการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงในการตั้งสำรองถูกลดทอนลงบางส่วนจากอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) ที่แข็งแกร่งของธนาคารซึ่งอยู่ที่ระดับ 154% ณ สิ้นปี 2565 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารจะอยู่ที่ประมาณ 140% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ในขณะเดียวกัน มีความเสี่ยงที่กำไรของธนาคารเกียรตินาคินภัทรอาจถูกกดดันจากการขาดทุนจากการขายรถยึดเนื่องจากปริมาณรถยนต์ที่ถูกยึดปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นไปได้ในการเพิ่มขึ้นของรถยนต์มือสองจากการยึดรถภายหลังสิ้นสุดมาตรการให้ความช่วยเหลือและความต้องการรถยนต์ใหม่ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดของห่วงโซ่อุปทานที่ผ่อนคลายลง อาจส่งผลให้เกิดการขาดทุนจากการขายรถยนต์ที่ถูกยึดต่อสัญญาที่สูงขึ้น

ความสามารถในการระดมเงินฝากดีขึ้น

ถึงแม้ว่าสถานะทางด้านเงินทุนของธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะยังคงอยู่ที่ระดับ 'ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย' เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ แต่ทริสเรทติ้งมองว่าความสามารถในการระดมเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคินภัทรในช่วง 2-3 ปีผ่านมามีพัฒนาการในเชิงบวก การนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากใหม่ ๆ ได้แก่ บัญชีเงินฝากเพื่อชำระธุรกรรมการลงทุน บัญชีเงินฝากสำหรับองค์กร และบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ต้นทุนเงินทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนความหลากหลายของสัดส่วนเงินฝากของธนาคาร การร่วมมือกับคู่ค้าในธุรกิจต่าง ๆ ทำให้ธนาคารสามารถขยายฐานผู้ฝากเงินได้ เงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (Current Account and Savings Account ? CASA) ต่อเงินฝากทั้งหมดอยู่ที่ระดับ 59.1% ณ สิ้นปี 2565 สูงที่สุดในบรรดาธนาคารที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ที่มีความสำคัญต่อระบบในประเทศ

ในแง่ของต้นทุนเงินฝาก ช่องว่างระหว่างต้นทุนเงินฝากของธนาคารเกียรตินาคินภัทรกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมลดลงเหลือ 0.5% ในปี 2565 จาก 0.9% ในปี 2561-2563 ด้วยต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่า ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่มีการจัดการที่ดี ธนาคารเกียรตินาคินภัทรจึงอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นในการแข่งขันกับคู่แข่งในด้านสินเชื่อรถใหม่และสินเชื่อที่อยู่อาศัย

สภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอ

ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะสภาพคล่องของธนาคารเกียรตินาคินภัทรอยู่ในระดับเพียงพอในช่วง 12 เดือนข้างหน้า อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรองรับกระแสเงินสดที่อาจไหลออกในภาวะวิกฤติ (Liquidity Coverage Ratio -- LCR) ของธนาคารอยู่ที่ 139% ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ แต่ยังคงอ่อนแอกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ 197% ตามรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ สิ้นปี 2565 อัตราส่วนสินทรัพย์สภาพคล่องต่อสินทรัพย์รวมคิดเป็น 29.4% ของสินทรัพย์ทั้งหมดและ 1.5 เท่าของเงินกู้ยืมระยะสั้น

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

สมมติฐานที่ทริสเรตติ้งคาดการณ์สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคารเกียรตินาคินภัทรในระหว่างปี 2566-2568 มีดังนี้

? อัตราการเติบโตของสินเชื่อ: 10%-15%

? อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ: 3.8%-4%

? อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวม: 40%

? ต้นทุนทางเครดิต: 1.8%-2.2%

? อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม

(ไม่รวมเงินลงทุนในสิทธิเรียกร้องและสินทรัพย์ระหว่างธนาคาร): 3.6%-3.8%

? อัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ: 12.3%-12.6%

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าธนาคารเกียรตินาคินภัทรจะยังคงรักษาสถานะเงินกองทุนของธนาคารให้อยู่ในระดับเพียงพอ และรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ตลอดจนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการผสานพลังกับธุรกิจตลาดทุนและธุรกิจบริหารความมั่งคั่งให้มากขึ้นเพื่อรักษาผลการดำเนินงานทางการเงินที่ดีและการกระจายตัวของรายได้

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นได้หากธนาคารเกียรตินาคินภัทรเสริมความแข็งแกร่งของสถานะเงินทุนอย่างมีนัยสำคัญด้วยอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของมากกว่า 15% เป็นระยะเวลาหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็ยังคงพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์และธุรกิจธนาคารอย่างต่อเนื่อง ทริสเรทติ้งอาจปรับลดอันดับเครดิตลงหากเงินทุน คุณภาพของสินทรัพย์ และ/หรือความสามารถในการทำกำไรลดลงอย่างเห็นได้ชัด

?

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธนาคาร, 20 มีนาคม 2566

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารทางการเงินที่นับเป็นเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์, 24 ธันวาคม 2564

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKP)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
KKP30NA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามหลักเกณฑ์ Basel III 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2573                                               	BBB+
KKP314A: หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ตามหลักเกณฑ์ Basel III 2,852 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574                                              	BBB+
KKP23OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566	A
KKP244A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567	A
KKP244B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,400 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567	A
KKP244C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567	A
KKP24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567	A
KKP24OB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567	A
KKP24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567	A
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันวงเงินไม่เกิน 3,200 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 3 ปี 	A
แนวโน้มอันดับเครดิต:	Stable


บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com  โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ