ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB? โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง ?Stable? หรือ ?คงที่? ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความหลากหลายของแหล่งที่มาของรายได้ ความสม่ำเสมอของเงินปันผลที่บริษัทได้รับจากบริษัทร่วม และความสัมพันธ์ของบริษัทที่มีมาอย่างยาวนานทั้งกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ค่อนข้างต่ำและรายได้ที่ผันผวนจากธุรกิจที่มีลักษณะเป็นงานโครงการ
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
รายได้ที่สม่ำเสมอจากการมีส่วนผสมทางธุรกิจที่หลากหลาย
การมีแหล่งรายได้ที่หลากหลายจากธุรกิจจำนวนมากน่าจะช่วยลดความผันผวนของรายได้ของบริษัทลงบ้าง ปัจจุบันบริษัทดำเนินงานในธุรกิจ 5 กลุ่ม ได้แก่ (1) ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ (2) ธุรกิจพลังงาน (3) ธุรกิจเน็ตเวิร์คโซลูชั่นส์ (Network Solutions) (4) ธุรกิจจัดจำหน่าย และ (5) ธุรกิจบริการ ทั้งนี้ บริษัทมีฐานลูกค้าที่หลากหลายในแต่ละกลุ่มธุรกิจตั้งแต่บริษัทเอกชนไปจนถึงสถาบันการเงินและหน่วยงานภาครัฐ
รายได้ของบริษัทในช่วงระหว่างปี 2563-2565 อยู่ที่ระดับราว ๆ 1.2-1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี แม้ว่าจะมีความล่าช้าของงานในบางโครงการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเน็ตเวิร์คโซลูชั่นส์และการเลื่อนการใช้จ่าย ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายมีส่วนช่วยบรรเทาการลดลงของรายได้จากธุรกิจเน็ตเวิร์คโซลูชั่นส์ลงได้
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีรายได้ในปี 2566 ในระดับที่ใกล้เคียงกับในปี 2565 โดยรายได้ประมาณ 6 พันล้านบาท จะมาจากงานในมือซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว ๆ 74% ของงานโครงการในมือทั้งหมดของ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 พร้อมทั้งรายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายจำนวน 4 พันล้านบาทและรายได้จากโครงการใหม่ที่คาดว่าจะประมูลได้และรับรู้ในปี 2566 ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าการใช้จ่ายของภาครัฐจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 และจะกลับมาเริ่มใช้งบประมาณใหม่ภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้น โดยในระหว่างปี 2567-2568 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ระดับราว ๆ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการใหม่ ๆ จะเริ่มทยอยเปิดตัวในอีก 2-3 ปีข้างหน้าภายหลังจากการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยทริสเรทติ้งเชื่อว่าความต้องการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของทั้งภาครัฐและเอกชนจะช่วยสนับสนุนรายได้ของผู้ประกอบการในภาคเทคโนโลยีสารสนเทศ ในขณะที่ธุรกิจจัดจำหน่ายของบริษัทนั้นก็คาดว่าน่าจะเติบโตที่ตัวเลข 2 หลักในช่วงระหว่างปี 2567-2568 สืบเนื่องจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมทั้งการขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และการเพิ่มราคาสินค้า
เงินปันผลรับที่เชื่อถือได้จากบริษัทที่ลงทุน
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินปันผลจากบริษัทร่วมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 450-500 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 โดยเงินปันผลหลัก ๆ จะมาจาก บริษัท บีพี-คาสตรอล (ประเทศไทย) จำกัด (BP Castrol) และ บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด (NS BlueScope) ทั้งนี้ BP Castrol เป็นผู้ผลิตน้ำมันหล่อลื่นส่วน NS BlueScope เป็นผู้ผลิตเหล็กแผ่นเรียบเคลือบโลหะและเคลือบสี
ในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับเงินปันผลที่ประมาณ 350-500 ล้านบาทต่อปีจากบริษัทร่วมเหล่านี้ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่มีนัยสำคัญต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ทั้งหมดของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าทั้ง BP Castrol และ NS BlueScope จะมีผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในอีก 3 ปีข้างหน้าท่ามกลางความไม่แน่นอนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยทริสเรทติ้งมองว่าทั้งสองบริษัทจะจ่ายเงินปันผลในอัตรา 100% ให้แก่ผู้ถือหุ้น
อัตราการทำกำไรที่สม่ำเสมอ
ในช่วงระหว่างปี 2562-2565 อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ของบริษัทได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของงานในโครงการแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 และปี 2565 อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 6%-7% เนื่องจากการรับรู้รายได้อื่นจากการกลับรายการผลขาดทุนจากการด้อยค่าในบริษัทร่วมแห่งหนึ่งของบริษัทรวมทั้งการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรจากการดำเนินงานในธุรกิจจัดจำหน่ายและธุรกิจเน็ตเวิร์คโซลูชั่นส์
ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับราว ๆ 6% ในช่วงปีประมาณการเนื่องจากบริษัทเน้นประมูลงานในโครงการที่บริษัทมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญรวมทั้งเป็นโครงการที่มีอัตรากำไรที่แน่นอน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะไม่มีปัญหาของการเพิ่มขึ้นของต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญในช่วงระหว่างปีประมาณการอีกด้วย ดังนั้น EBITDA ของบริษัทจึงคาดว่าน่าจะอยู่ระหว่าง 650 ล้านบาทและ 750 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568
มีฐานลูกค้าที่มั่นคงยาวนาน
บริษัทมีความสัมพันธ์ที่ยาวนานและมีประวัติผลงานที่เป็นที่ยอมรับในการส่งมอบงานทั้งกับลูกค้าและผู้ผลิตและจำหน่าย นอกจากนี้ บริษัทยังมีชื่อเสียงที่ดีในตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลูกค้าภาครัฐจากการมีประวัติผลงานในโครงการของหน่วยงานภาครัฐจำนวนมากที่สำเร็จลุล่วง อีกทั้งบริษัทยังเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้ผลิตและจำหน่ายระดับโลกที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานอีกด้วย
บริษัทมีความเชี่ยวชาญและมีความสามารถในการให้บริการและส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพสูงในหลากหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การมีความชำนาญทางเทคนิคในระดับสูงของพนักงานยังช่วยสร้างนวัตกรรมและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ให้แก่บริษัทอีกด้วย ทั้งนี้ จุดแข็งดังกล่าวช่วยให้บริษัทสามารถชนะการประมูลงานทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนได้อยู่เสมอ
สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
สถานะทางการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง ภาระหนี้ของบริษัทคาดว่าจะลดลงจากระดับในปี 2565 ซึ่งมีการปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากในช่วงระหว่างปี 2562-2563 แล้ว โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 1.9 เท่าในปี 2565 จากระดับ 2.6 เท่าในปี 2564 และ 6.8 เท่าในปี 2563 ทั้งนี้ การปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าวเป็นผลเนื่องมาจากการลดลงอย่างมากของระดับหนี้ของบริษัทบวกกับความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วยังลดลงอย่างมากมาอยู่ที่ระดับ 18.5% ในปี 2565 จากระดับ 26.2% ในปี 2564 และระดับ 30.1% ในปี 2563 อีกด้วย
ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5-2.0 เท่า ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วจะอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 20% ในช่วงระหว่างปี 2566-2568
สถานะสภาพคล่องอยู่ในระดับยอมรับได้
ทริสเรทติ้งประเมินว่าสถานะสภาพคล่องของบริษัทอยู่ในระดับที่เพียงพอ บริษัทมีแหล่งเงินทุนซึ่งประกอบด้วยเงินสดในมือจำนวน 2.3 พันล้านบาท เงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 500 ล้านบาท และวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ อีกจำนวน 2 พันล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 ทั้งนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท แหล่งเงินทุนของบริษัทเหล่านี้คาดว่าจะเพียงพอสำหรับการชำระคืนหนี้และรองรับการลงทุนของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าได้ โดยบริษัทมีภาระในการชำระหนี้เงินกู้ระยะยาวจำนวนประมาณ 560 ล้านบาทในช่วงดังกล่าว ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีหนี้เงินกู้ระยะสั้นคงค้างจำนวน 1.4 พันล้านบาท ในขณะที่งบลงทุนสำหรับปี 2566 จะอยู่ที่จำนวนประมาณ 200 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ตามหลักเกณฑ์การคำนวณที่กำหนดในหนังสือชี้ชวน) ณ เดือนธันวาคม 2565 อยู่ที่ 0.96 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 2.5 เท่า
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 สัดส่วนหนี้ที่มีสิทธิได้รับการชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 67% ซึ่งประกอบไปด้วยหนี้สินทั้งหมดของบริษัทย่อยและหนี้เงินกู้โครงการที่มีหลักประกัน ทั้งนี้ เนื่องจากสัดส่วนหนี้ที่มีสิทธิได้รับการชำระคืนก่อนเมื่อเทียบกับหนี้สินรวมตามงบการเงินรวมของบริษัทนั้นอยู่สูงกว่าระดับ 50% ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทอาจมีความเสียเปรียบในเรื่องลำดับในการขอชำระคืนหนี้จากทรัพย์สินของบริษัท อย่างไรก็ตาม สัดส่วนหนี้ที่มีสิทธิได้รับการชำระคืนก่อนต่อสินทรัพย์รวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 15%
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ในช่วงระหว่างปี 2566-2568 ทริสเรทติ้งมีสมมติฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทดังต่อไปนี้
? รายได้จะอยู่ระหว่าง 1.2-1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี
? อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จะอยู่ที่ระดับประมาณ 6%
? งบลงทุนจะอยู่ที่จำนวนประมาณทั้งสิ้น 300-500 ล้านบาทต่อปี
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาสถานะในการแข่งขันประมูลงานโครงการต่อไปได้และจะยังคงรักษาระดับรายได้จากงานโครงการและมีอัตรากำไรที่ดีขึ้น
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นหากผลการดำเนินงานและกระแสเงินสดจากธุรกิจหลักของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงมีภาระหนี้อยู่ในระดับต่ำได้อย่างต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้าม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากความสามารถในการแข่งขันประมูลงานโครงการที่อ่อนแอลงหรือเงินปันผลรับจากบริษัทร่วมที่ลดลงอย่างมาก
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) (LOXLEY)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable