ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? พร้อมทั้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ ?A-? และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ลักษณะคล้ายทุนที่ระดับ ?BBB+? ด้วย โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคงอยู่ที่ ?Stable? หรือ ?คงที่?
อันดับเครดิตสะท้อนถึงการลงทุนในโรงไฟฟ้าของบริษัทที่มีขนาดใหญ่และมีการกระจายตัวที่ดี อีกทั้งยังสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่เชื่อถือได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวและประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกฉุดรั้งไว้จากภาระหนี้สินที่จะสูงขึ้นในช่วงที่ขยายธุรกิจ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังรวมถึงความคาดหวังว่าผลการดำเนินงานด้านการเงินของบริษัทจะฟื้นตัวดีขึ้นในอนาคต
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สินทรัพย์โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่กระจายตัวหลากหลาย
บริษัทมีสินทรัพย์โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่โดยมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งสุทธิที่ 2,227 เมกะวัตต์ เมื่อวัดตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท โดยเป็นโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการอยู่มากกว่า 50 แห่งทั้งในและต่างประเทศ
ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 20 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมในเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor -- EEC) โดยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมถือเป็นสินทรัพย์หลักในการผลิตไฟฟ้าซึ่งคิดเป็นประมาณ 69% ของกำลังการผลิตสุทธิหรือ 1,539 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการอยู่ โดยมีกำลังการผลิตรวม 683 เมกะวัตต์ ทั้งประเภทพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังน้ำ และที่ใช้ขยะเป็นพลังงาน ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว)
กระแสเงินสดที่เชื่อถือได้จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว
กระแสเงินสดที่เชื่อถือได้ของบริษัทนั้นมาจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ดำเนินงานภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) เป็นหลัก โดยทั้งหมดมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะเวลาหลายปีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ. ซึ่งได้รับอันดับเครดิต ?AAA/Stable?) ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทยังคงมาจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. โดยคิดเป็น 68% ของรายได้รวมในปี 2565 ข้อดีจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ได้แก่ ภาระผูกพันในการซื้อไฟฟ้าขั้นต่ำ และกลไกการส่งผ่านราคาก๊าซในสูตรราคาค่าไฟฟ้า
นอกจากนี้โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมยังมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและไอน้ำกับผู้ใช้ภาคอุตสาหกรรมเป็นเวลา 5-15 ปี โดยลูกค้าอุตสาหกรรมแต่ละรายมีข้อผูกพันที่ต้องซื้อไฟฟ้าและ/หรือไอน้ำในปริมาณขั้นต่ำ อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายถูกขับเคลื่อนโดยความต้องการจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรม โดยรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้ผู้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นประมาณ 23% ของรายได้รวมในปี 2565
ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม
กระแสเงินสดที่เชื่อถือได้ยังถูกขับเคลื่อนจากประสิทธิภาพการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยรวมแล้ว โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมของบริษัทมีดัชนีความพร้อมอยู่ในระดับสูงและมีการหยุดซ่อมนอกแผนงานน้อย โดยบริษัทมีบุคลากรของตนเองในการดำเนินงานและซ่อมบำรุงประจำวัน นอกจากนี้ ยังมีสัญญาบำรุงรักษาระยะยาว (Long-term Service Agreement -- LTSA) กับผู้ผลิตและจำหน่ายระดับโลกสำหรับการดำเนินงานโรงไฟฟ้าด้วย ในช่วงปี 2563-2565 โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมส่วนใหญ่ของบริษัทมีดัชนีค่าความพร้อมสูงกว่า 95% ซึ่งมากกว่าที่สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากำหนดไว้ โดยมีอัตราค่าความร้อนเฉลี่ยที่ดีกว่าอัตราความร้อนอ้างอิง
รายได้ส่วนใหญ่ยังคงมาจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม
ทริสเรทติ้งคาดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทต่อไป โดยบริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจำนวน 5 โครงการตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 จนถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2566 โดยโรงไฟฟ้าทั้งหมดถูกพัฒนาขึ้นภายใต้โครงการโรงไฟฟ้าทดแทน (SPP Replacement) นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 2 โครงการในจังหวัดอ่างทองซึ่งมีกำหนดจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2566 โดยมีสัญญากับ กฟผ. จำนวนรวม 180 เมกะวัตต์ ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการโครงการได้ตามแผนและทำให้มีสัญญากับ กฟผ. เพิ่มขึ้นเป็น 1,410 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมโครงการใหม่ยังช่วยเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมรายใหม่ ๆ อีกด้วย โดยทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะค่อย ๆ มีลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าการใช้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมโครงการใหม่อย่างเต็มซึ่งจะช่วยให้มีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นและมีการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น
?
คาดหวังการฟื้นตัวของผลการดำเนินงาน
การคงอันดับเครดิตมาจากความคาดหวังว่าผลการดำเนินงานด้านการเงินจะฟื้นตัวขึ้น ผลประกอบการของบริษัทได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากราคาก๊าซที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยบริษัทจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมด้วยส่วนลดจากราคาค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ ซึ่งอัตราค่าไฟฟ้าโดยทั่วไปจะมีการปรับราคาเพื่อสะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิงผ่านค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่า Ft อย่างไรก็ตาม การปรับค่า Ft นั้นจะล่าช้ากว่าและขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงานที่รับผิดชอบว่าจะปรับในช่วงเวลาไหนและที่อัตราเท่าใด
ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นจนทำลายสถิติที่ระดับสูงกว่า 550 บาทต่อล้านบีทียูในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ในขณะที่การปรับเพิ่มค่า Ft ยังคงต่ำกว่าต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทลดลงเหลือ 9.9 พันล้านบาทในปี 2565 จาก 1.3 หมื่นล้านบาทในปี 2564
ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้น ในประมาณการกรณีฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าราคาก๊าซธรรมชาติจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 2566 และจะค่อย ๆ ลดลงกลับสู่ระดับปกติตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปจากการคาดการณ์ว่าความไม่สมดุลระหว่างระดับอุปสงค์และอุปทานจะผ่อนคลายลง ในขณะที่ค่า Ft จะยังคงมีการปรับปรุงเพื่อชดเชยเงินอุดหนุนค่าไฟฟ้าจำนวนมากที่ กฟผ. แบกรับ ดังนั้น ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะฟื้นตัวขึ้นเป็น 1.3-1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีระหว่างปี 2566-2568
เติบโตไปสู่พลังงานทดแทน
บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายกำลังผลิตติดตั้งรวมเป็น 10,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 เพิ่มขึ้นจาก 3,338 เมกะวัตต์ในปี 2565 โดยครึ่งหนึ่งจะเป็นพลังงานหมุนเวียน บริษัทยังกำลังพัฒนาโรงไฟฟ้าไฮบริดระหว่างพลังงานแสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บพลังงานและพลังความร้อนร่วมในพื้นที่อู่ตะเภา นอกจากนี้ บริษัทยังขยายกำลังการผลิตในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนหลายโครงการ ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศมาเลเซียและญี่ปุ่น และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนามอีกด้วย
บริษัทยังเพิ่งได้รับคัดเลือกให้พัฒนาโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในประเทศไทยด้วยกำลังการผลิตรวม 339 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นจำนวน 161 เมกะวัตต์เมื่อวัดตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยโครงการดังกล่าวมีกำหนดให้เริ่มดำเนินงานในช่วงปี 2569-2573 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะลงทุนและพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมขนาดใหญ่ในสาธารณรัฐเกาหลีโดยมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,031 เมกะวัตต์หรือคิดเป็นจำนวน 597 เมกะวัตต์เมื่อวัดตามสัดส่วนการถือหุ้น หากโครงการนี้เกิดขึ้นตามแผนจะต้องใช้เงินลงทุนรวม 6.97 หมื่นล้านบาทโดยมีกำหนดเริ่มเปิดดำเนินงานในปี 2567-2570
ภาระหนี้ยังคงอยู่ในระดับสูง
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นในปี 2566 เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ซึ่งประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าทั้งแบบดั้งเดิมและแบบพลังงานหมุนเวียน ในประมาณการกรณีฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้จ่ายเงินลงทุนสูงถึง 2.6 หมื่นล้านบาทในช่วงปี 2566-2568 หนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอาจเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 9.6 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และค่อย ๆ ลดลงเหลือ 9 หมื่นล้านบาทในปี 2568 ประมาณการอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะลดลงเหลือ 7.6 เท่าในปี 2566 จาก 9.2 เท่า ในปี 2565 และจะอยู่ราว 6-6.5 เท่าในปี 2567-2568 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะอยู่ที่ราว 70% ในปี 2566 และลดลงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ที่ 65% ในปี 2568
จากการที่บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้นและการมีออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนเพิ่มขึ้น บริษัทจึงมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นซึ่งจะยังคงส่งผลกดดันต่อผลกำไรของบริษัท ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ราว 7%-10% ในช่วงปี 2566-2568
โครงสร้างหนี้สิน
ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีหนี้สินตามงบการเงินรวม (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) เป็นจำนวน 1.15 แสนล้านบาท และมีหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 8 พันล้านบาท โดยจำนวน 7.38 หมื่นล้านบาทถูกพิจารณาว่าเป็นหนี้ที่มีลำดับได้รับชำระคืนก่อน (Priority Debt) ซึ่งประกอบไปด้วยหนี้ของบริษัทย่อย อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดคือ 60% ทำให้หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทจึงมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้น
สถานะสภาพคล่องที่เพียงพอ
ในงบการเงินรวมนั้น บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 2.69 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 6.8 พันล้านบาทในปี 2566 ดังนั้น เงินสดในมือ รวมทั้งวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ และเงินทุนจากการดำเนินงานจึงมีเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าที่ 1.11 หมื่นล้านบาทได้
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงขายไฟฟ้าราว 12,200-13,400 ล้านหน่วยต่อปีในช่วง 2566-2568 และขายไอน้ำได้ราว 0.61-0.66 ล้านตันต่อปี
? ประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในช่วงปี 2566-2568 จะเป็นดังนี้
- พลังงานแสงอาทิตย์ : 16%-18%
- พลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน : 20%
- พลังงานลม : 15%-28%
- พลังน้ำ : 52%-64%
? ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนรวมถึงการลงทุนทั้งหมดจะอยู่ที่จำนวน 2.61 หมื่นล้านบาทสำหรับช่วงปี 2566-2568
?
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจและจะสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ บริษัทจะสามารถดำเนินโครงการใหม่เสร็จสิ้นได้ตามแผน เป็นผลให้กำไรและภาระหนี้เป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งประมาณการ
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากบริษัทมีระดับกระแสเงินสดต่อภาระหนี้สินที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกันอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่ประมาณการอย่างมาก อันดับเครดิตยังอาจถูกกดดันได้หากโครงสร้างเงินทุนอ่อนแอลงอย่างชัดเจนซึ่งอาจเกิดจากการก่อหนี้เพื่อการลงทุนในระดับสูง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 28 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BGRIM)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BGRIM23OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A-
BGRIM247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 A-
BGRIM255A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-
BGRIM255B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A-
BGRIM267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 A-
BGRIM275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A-
BGRIM28OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 A-
BGRIM295A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,150 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572 A-
BGRIM317A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 7,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2574 A-
BGRIM325A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,550 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A-
BGRIM19PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 8,000 ล้านบาท BBB+
BGRIM23PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 8,000 ล้านบาท BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable