ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี 1 เดือนของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? ด้วยเช่นกัน โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้นี้ไปใช้ชำระคืนหนี้และขยายพอร์ตสินเชื่อ
อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกัน (Title Loan) และฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง ตลอดจนเสถียรภาพในการทำกำไร แหล่งเงินทุนที่หลากหลายและเพียงพอ รวมถึงสภาพคล่องที่มีมากพอของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากคุณภาพสินทรัพย์ที่มีสัญญาณว่าจะถดถอยลงอันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
ความชำนาญในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกันและการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของบริษัทน่าจะทำให้บริษัทยังคงดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในอันดับต้น ๆ ของธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกันต่อไปได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2565 ยอดสินเชื่อคงค้างของบริษัทเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 1.21 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอีก 31% จาก ณ สิ้นปีก่อนหน้า ทริสเรทติ้งประมาณการว่าพอร์ตสินเชื่อโดยรวมของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 16%-18% ต่อปีในช่วงปี 2566-2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากสินเชื่อที่มีหลักประกันซึ่งยังคงมีอุปสงค์ที่ดี
ในส่วนของคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมนั้น อัตราส่วนลูกหนี้ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตหรือลูกหนี้ชั้นที่ 3 (NPL) ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ของบริษัทมีสัญญาณของแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นโดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.9% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 จากที่ระดับ 1.4% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2564 NPL ที่เกิดขึ้นใหม่ก็ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกันเป็น 3.1% ในปี 2565 จาก 0.93% ในปี 2564 ในขณะที่อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อถัวเฉลี่ยของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2.7% ในปี 2565 จากระดับประมาณ 1% ในอดีต
การเสื่อมถอยของคุณภาพสินทรัพย์เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของ NPL ในกลุ่มของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ตลอดจนสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ (นาโนไฟแนนซ์) และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ซึ่งสอดคล้องกับคู่แข่งหลายราย บริษัทมีแนวโน้มที่จะขยายสินเชื่อดังกล่าวด้วยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นต่อไป แต่คุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องก็อาจส่งผลกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรและอันดับเครดิตได้เช่นกัน ทริสเรทติ้งคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์ที่อ่อนตัวลงนั้นยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้และมีผลกระทบต่อสถานะความเสี่ยงของบริษัทในขอบเขตที่จำกัด
ทริสเรทติ้งเชื่อว่า บริษัทน่าจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรต่อไปได้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะสูงขึ้นและมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต เนื่องจากทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ความสามารถในการสร้างผลกำไรของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ย (EBT/ARWA) ยังคงอยู่ในระดับปานกลาง โดยในปี 2565 อัตราส่วน EBT/ARWA ของบริษัทอยู่ที่ระดับ 4.9% ในขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มาอยู่ที่ 5.1 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วน EBT/ARWA ของบริษัทจะยังคงอยู่ที่ระดับประมาณ 5% ในระหว่างปี 2566-2567
ในแง่ของฐานทุนนั้น ฐานทุนของบริษัทอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งโดยมีอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงอยู่ที่ระดับประมาณ 20% ณ สิ้นปี 2565 โดย ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 3.4 เท่า ในขณะที่เงื่อนไขสำคัญทางการเงินกำหนดให้บริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นไว้ที่ระดับไม่เกิน 4.5 เท่า ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าผลกำไรและนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่มีความระมัดระวังจะช่วยทำให้ฐานทุนของบริษัทมีความมั่นคงแม้ว่าบริษัทจะมีแผนการขยายสินเชื่อจำนวนมากก็ตาม
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสถานะเงินทุนและสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอเนื่องจากบริษัทสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทั้งจากตลาดตราสารหนี้และตลาดตราสารทุน รวมทั้งยังมีวงเงินสินเชื่อที่มีกับสถาบันการเงินอีกหลายแห่งซึ่งช่วยสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อและช่วยลดทอนความเสี่ยงด้านสภาพคล่องลงได้ด้วย โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 บริษัทได้รับวงเงินสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ รวมทั้งสิ้นจำนวน 4.13 หมื่นล้านบาท ซึ่ง 16% ของวงเงินดังกล่าวนั้นยังไม่มีการเบิกใช้
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อที่มีหลักประกันเอาไว้ได้ต่อไป รวมทั้งบริษัทจะมีความสามารถในการทำกำไรและมีเงินทุนที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้อีกด้วย
?
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงของบริษัทอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 25% อย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่ง ในขณะที่ผลประกอบการทางการเงินซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนภาษีเงินได้ต่อสินทรัพย์เสี่ยงถัวเฉลี่ยยังคงอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกับปัจจุบัน ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากคุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือหากสถานะเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจนกระทั่งอัตราส่วนเงินทุนที่ปรับความเสี่ยงลดลงต่ำกว่าระดับ 15% อย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
MTC237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,756.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC23NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,319.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC23NC: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,836.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC243B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,486 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,641.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC248C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,728.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC248D: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,328.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,367 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,902 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,609 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC253A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,969.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC258A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,361.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC258B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,124.50 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC25NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,598 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
MTC262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,391 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
MTC263A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,995.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
MTC264A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,634.6 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
MTC266A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,831.1 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
MTC268A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 996.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
MTC26NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
MTC272A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
MTC273A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 927.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
MTC276A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 933.2 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
MTC283A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,121.10 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2571 BBB+
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 10,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 5 ปี 1 เดือน BBB+
MTC237A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,756.70 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC23NB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,319.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC23NC: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,836.60 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+
MTC243B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,486 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,641.80 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC248C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,728.20 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC248D: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,328.40 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,367 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC24NA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,902 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
MTC252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,609 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable