ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “บ. แสนสิริ” ที่ “BBB+” หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ที่ “BBB-” และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน วงเงินไม่เกิน 6

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 3, 2023 17:47 —ทริส เรตติ้ง

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB+? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ ?BBB-? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 6 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้สะท้อนถึงสินค้าที่หลากหลาย ตลอดจนสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม และความสามรถในการทำกำไรที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ถูกจำกัดด้วยภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงของบริษัทซึ่งส่งผลมาจากการลงทุนเชิงรุกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในธุรกิจอื่น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลของทริสเรทติ้งเกี่ยวกับการกลับมากำหนดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (Loan-to-Value หรือ LTV) และการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อความต้องการที่พักอาศัยในระยะสั้นถึงปานกลาง

อันดับเครดิตของหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 2 ขั้นเนื่องจากหุ้นกู้ดังกล่าวมีลักษณะการด้อยสิทธิและผู้ออกตราสารสามารถเลื่อนการชำระดอกเบี้ยพร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายของหุ้นกู้ได้

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

สินค้ามีความหลากหลายและแบรนด์มีชื่อเสียง

บริษัทมีแบรนด์ทีมี่ชื่อเสียงทั้งในธุรกิจบ้านจัดสรรและธุรกิจคอนโดมิเนียม โครงการของบริษัททั้งโครงการในปัจจุบันและโครงการที่เปิดใหม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่ดี สินค้าที่อยู่อาศัยของบริษัทมีความหลากหลายทั้งในส่วนของประเภทสินค้าและระดับราคา โดยบริษัทนำเสนอสินค้าทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียมครอบคลุมทั้งสินค้าระดับสูง ระดับกลางและระดับล่าง การมีสินค้าที่หลากหลายช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวในการนำเสนอสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยในสินค้าใดสินค้าหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่งได้

ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีโครงการบ้านจัดสรรที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจำนวน 73 โครงการ (รวมโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมทุนจำนวน 1 โครงการ) และโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 38 โครงการ (รวมโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้กิจการร่วมทุนจำนวน 5 โครงการ) ซึ่งมีมูลค่าเหลือขายรวมทั้งสิ้น 5.54 หมื่นล้านบาท (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) โดยโครงการบ้านจัดสรรมีสัดส่วนคิดเป็น 66% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด และส่วนที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม

สถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่ง

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงสามารถรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและความสามารถในการแข่งขันในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยในช่วง 3 ปีข้างหน้าต่อไปได้ ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจัดอยู่ใน 5 อันดับแรกของผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมที่ระดับประมาณ 2.5-3.5 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2561-2565

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะเติบโตมาอยู่ที่ระดับ 3.9-4.4 หมื่นล้านบาทต่อปีได้ในช่วงปี 2566-2568 เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 1.54 แสนล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ รายได้ของบริษัทยังจะได้รับแรงหนุนบางส่วนจากยอดขายรอการรับรู้รายได้ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.88 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 อีกด้วย โดยยอดขายรอการรับรู้รายได้ดังกล่าวประกอบด้วยยอดขายจากโครงการของบริษัทเองจำนวน 1.58 หมื่นล้านบาทและยอดขายจากโครงการภายใต้กิจการร่วมทุนจำนวน 3 พันล้านบาท

อัตรากำไรปรับตัวดีขึ้น

บริษัทรายงานกำไรสุทธิที่สูงเป็นเป็นประวัติการณ์จำนวน 4.28 พันล้านบาทในปี 2565 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดการโอนที่แข็งแกร่งและอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้น อัตรากำไรอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจโดยเฉพาะสำหรับโครงการที่เปิดใหม่ในระดับพรีเมี่ยมซึ่งพิสูจน์ถึงความสำเร็จที่ดีกับลูกค้า อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในส่วนของบ้านเดี่ยวปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 39% ของรายได้รวมในปี 2565 จาก 32% ของรายได้รวมในปี 2564 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมของบริษัทถูกลดทอนด้วยการขาดทุนในส่วนของธุรกิจบริหารโรงแรมและอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำลงในส่วนของธุรกิจคอนโดมิเนียม ธุจกิจบริหารโรงแรมของบริษัทดำเนินการภายใต้ Standard International Holdings, LLC (The Standard) ยังคงมีผลการดำเนินงานขาดทุนประมาณ 474 ล้านบาท ดังนั้น อัตรากำไรขั้นต้นโดยเฉลี่ยของบริษัทจากทุกธุรกิจปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับประมาณ 35% ในปี 2565 จาก 34% ในปี 2564 เมื่อรวมการบริหารต้นทุนที่ยอมรับได้และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ (EBITDA Margin) ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 25% ในปี 2565 จาก 21.7% ในปี 2564

มองไปข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง สมมติอัตรากำไรขั้นต้นโดยเฉลี่ยของบริษัทจากทุกธุรกิจที่ระดับ 33%-34% ของรายได้รวม และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ไม่เกิน 20% ของรายได้รวม โดย EBITDA ของบริษัทควรจะอยู่ในช่วงประมาณ 9.4-10.7 พันล้านบาทต่อปีหรือคิดเป็น 24%-25% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมในช่วงปี 2566-2568 ในขณะที่ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวร (ROPC) น่าจะอยู่ในช่วง 6%-8% ตลอดช่วงประมาณการ โดยที่การลงทุนในธุรกิจอื่นของบริษัทยังไม่ได้สร้างผลตอบแทนให้กับบริษัท ซึ่ง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีเงินลงทุนในธุรกิจอื่นจำนวน 4.4 พันล้านบาท รวมถึงการลงทุนใน BFTZ Bangpakong Co., Ltd. (BFTZ) จำนวน 980 ล้านบาท และเงินลงทุนใน XSpring Caplital PLC (XSpring) ประมาณ 2 พันล้านบาท.

ความเสี่ยงทางการเงินสูง

ความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเนื่องจากระดับต้นทุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่สูงกว่า 8.58 หมื่นล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2565 มูลค่าต้นทุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายสูงกว่าต้นทุนขายของบริษัทกว่า 4 เท่าในปี 2565 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะเปิดตัวโครงการมูลค่ารวมกว่า 1.54 แสนล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าด้วย ดังนั้น ความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทคาดว่าจะไม่ได้ปรับตัวลดลงมากนักจากระดับปัจจุบัน ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง ประมาณการอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะยังคงอยู่ในช่วง 62%-65% ในระหว่างปี 2566-2568 และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะยังคงอยู่ในช่วง 5%-10% ในระหว่างปีประมาณการ

ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่าประมาณ 4.0-7.2 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2568 โดยประมาณ 65%-70% ของโครงการใหม่จะเป็นโครงการแนวราบและที่เหลือเป็นโครงการคอนโดมิเนียม ในด้านสัดส่วนทางการตลาด ประมาณ 46% ของโครงการเปิดใหม่จะเป็นโครงการพรีเมี่ยม ตามด้วยโครงการที่ราคาไม่แพงนัก 31% และโครงการระดับกลาง 23% งบประมาณในการจัดซื้อที่ดินสำหรับโครงการของบริษัทนั้นน่าจะอยู่ที่ระดับ 1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568 บริษัทยังต้องลงทุนเพิ่มเติมใน BFTZ อีกทั้งสิ้นประมาณ 250-500 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้าส่วนใหญ่ในรูปแบบของเงินให้กู้ยืมจากบริษัทเพื่อสนับสนุนการขยายกิจการ นอกจากนี้ ภายใต้สมมติฐานกรณีพื้นฐานของ

ทริสเรทติ้งยังได้รวมงบประมาณการซื้อกิจการโรงแรม SIXTY SoHo Hotel และงบประมาณในการปรับปรุงใหม่จำนวน 4.6 พันล้านบาท และเงินที่ได้จากการขายโรงเรียนสาธิตพัฒนาจำนวน 1.2 พันล้านบาทเข้าไปแล้วด้วย

ทั้งนี้ บริษัทจำเป็นจะต้องรักษาอัตราส่วนทางการเงินให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางการเงินของวงเงินกู้ยืมจากธนาคารและหุ้นกู้ โดยบริษัทจะต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่าและอาวัลที่ดิน) ให้ต่ำกว่า 2.5 เท่า ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2565 อัตราส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 1.6 เท่า ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่าบริษัทจะสามารถบริหารโครงสร้างทางการเงินให้สอดคล้องกับเงื่อนไขดังกล่าวต่อไปได้ในช่วง 12-18 เดือนข้างหน้า

ผลกระทบเชิงลบจากการปรับเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

การปรับเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้อุปสงค์ที่อยู่อาศัยลดลงในระยะสั้นถึงระยะกลาง ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 เป็นต้นมา ธนาคารต่าง ๆ ต้องจำกัดเพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันให้อยู่ที่ระดับ 80%-90% สำหรับสัญญาจำนองที่ 2 และระดับ 70% สำหรับสัญญาจำนองที่ 3 ทริสเรทติ้งมองว่าเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงระดับบน เนื่องจากผู้ซื้อเหล่านี้อาจมีสัญญาจำนองมากกว่า 1 สัญญาอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการปรับเกณฑ์สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยถูกบรรเทาลงบางส่วนเนื่องจากบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าที่ซื้อเงินสดค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าระดับกลางและพรีเมี่ยม

ในขณะที่ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ซื้อบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการระดมทุนของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากทั้งอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง ทำให้คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง 0.50% ในปี 2566 ซึ่ง ธปท. ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้ว 2 ครั้งในปีนี้คือ 0.25% ในเดือนมกราคม 2566 และอีก 0.25% ในเดือนมีนาคม 2566

สภาพคล่องสามารถบริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งประเมินว่าสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะค่อนข้างตึงตัวแต่น่าจะสามารถบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2565 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดจำนวน 2.6 พันล้านบาทและวงเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้ซึ่งไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกและไม่สามารถยกเลิกได้อีกจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่จำนวน 4.7 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่ดินเปล่าที่ปลอดภาระค้ำประกันซึ่งมีมูลค่าตามบัญชีจำนวน 1.9 หมื่นล้านบาทและสินค้าที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จเหลือขายในโครงการที่ปลอดภาระหนี้ซึ่งมีมูลค่าขายอีกจำนวน 1.1 พันล้านบาทซึ่งบริษัทสามารถนำไปใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอเงินกู้จากธนาคารในกรณีที่จำเป็นได้อีกด้วย

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 3.23 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท เงินกู้โครงการระยะยาวจำนวน 1.02 หมื่นล้านบาท ตั๋วแลกเงินระยะสั้นจำนวน 6.4 พันล้านบาท ตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นจำนวน 3.5 พันล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่าอีกจำนวน 170 ล้านบาท โดยปกติแล้วบริษัทจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระ ตั๋วแลกเงินระยะสั้นและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นส่วนใหญ่ใช้สำหรับเป็นวงเงินชั่วคราวในการซื้อที่ดิน บริษัทมีแผนจะเปลี่ยนตั๋วแลกเงินระยะสั้นและตั๋วสัญญาใช้เงินระยะสั้นดังกล่าวไปเป็นเงินกู้โครงการระยะยาวในภายหลัง ในขณะที่เงินกู้โครงการนั้นบริษัทจะชำระคืนด้วยเงินที่ได้รับจากการโอนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย

ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินรวมอยู่ที่จำนวน 7.57 หมื่นล้านบาท (ตามการคำนวณหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อน) โดยบริษัทมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนเป็นหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทและของบริษัทย่อยต่าง ๆ ที่จำนวน 1.85 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ อัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทางการเงินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 24.4%

สมมติฐานกรณีพื้นฐาน

? บริษัทจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่มูลค่า 4.0-7.2 หมื่นล้านบาทต่อปี

? งบประมาณในการซื้อที่ดินสำหรับโครงการของบริษัทเองจะอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี

? รายได้จากการดำเนินงานรวมจะอยู่ที่ระดับ 3.9-4.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

? EBITDA Margin จะอยู่ที่ประมาณ 24%-25% ต่อปี

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทจะเป็นไปตามประมาณการ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะรักษาอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนให้ต่ำกว่า 65% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินให้อยู่ในช่วง 5%-10% เอาไว้ได้ตลอดช่วงเวลาประมาณการ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้ ในทางตรงกันข้าม อันดับเครดิตอาจปรับเพิ่มขึ้นได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเทียบเท่ากับผู้ประกอบการที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับที่สูงกว่าซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ในระดับต่ำกว่า 55% และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นเป็น 10%-15% ในช่วงระยะเวลาที่ต่อเนื่อง

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

- การจัดอันดับเครดิตบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย, 12 มกราคม 2566

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565

- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน (Hybrid Securities), 28 มิถุนายน 2564

- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

SIRI236A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 BBB+

SIRI243A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 497.5 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+

SIRI247A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+

SIRI24OA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,600 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+

SIRI24DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+

SIRI24DB: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+

SIRI252B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+

SIRI252A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+

SIRI259A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,408.48 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB+

SIRI261A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+

SIRI263A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 5,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+

SIRI267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+

SIRI267B: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+

SIRI267C: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,379.97 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+

SIRI269A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,095.6 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+

SIRI26DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+

SIRI277A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,620.03 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+

SIRI279A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,495.92 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+

SIRI20PA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 3,000 ล้านบาท (Hybrid Debentures) BBB-

หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 2,050 ล้านบาท (Hybrid Debentures) BBB-

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 4 ปี BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด/ www.trisrating.com
ติดต่อ santaya@trisrating.com โทร. 0-2098-3000 อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 24 191 ถ. สีลม กรุงเทพฯ 10500
? บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2566 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือเพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ก่อน การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงไม่รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้นผลที่ได้รับหรือการกระทำใดๆโดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้ รายละเอียดของวิธีการจัดอันดับเครดิตของ บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เผยแพร่อยู่บน Website: http://www.trisrating.com/th/rating-information-th2/rating-criteria.html

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ