ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ระดับ ?AAA? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่เป็นบริษัทย่อยหลัก (Core Subsidiary) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (หรือ กฟภ. อันดับเครดิต ?AAA/Stable?) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะตัวแทนการลงทุน (Investment Arm) ของ กฟภ. และมีบูรณาการในระดับสูงกับ กฟภ. นอกจากนี้ การประเมินอันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงการสนับสนุนด้านการดำเนินงานและการเงินที่บริษัทได้รับอย่างเต็มที่จาก กฟภ. อีกด้วย ทั้งนี้ การที่ กฟภ. ถือหุ้นในบริษัทในสัดส่วน 100% ทำให้บริษัทมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้กฎหมายไทย
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เป็นบริษัทย่อยหลักของ กฟภ.
สถานะเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงสถานะเครดิตของ กฟภ. เนื่องจากทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทเป็นบริษัทย่อยหลักของ กฟภ. โดยบริษัทได้รับการจัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2552 ด้วยวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้เป็นตัวแทนการลงทุนของ กฟภ. โดยบริษัทมี กฟภ. เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด 100% และเป็นบริษัทย่อยเพียงแห่งเดียวของ กฟภ. ทั้งนี้ กฟภ. เป็นรัฐวิสาหกิจที่รับผิดชอบในการจัดส่งและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตภูมิภาคซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 74 จังหวัดทั่วประเทศ
บริษัทมีนโยบายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจของ กฟภ. เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดซื้อขายไฟฟ้าในประเทศไทยซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อรายได้หลักของ กฟภ. ในอนาคตได้ ทั้งนี้ ธุรกิจหลักของ กฟภ. ในการซื้อและจำหน่ายไฟฟ้ายังคงเผชิญกับความท้าทายจากการผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กแบบกระจายศูนย์ (Distributed Generation -- DG) ที่มีแนวโน้มขยายตัวและการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าใช้เอง (Prosumer) เพื่อแก้ปัญหาความท้าทายดังกล่าว บริษัทจึงเน้นไปทางด้านธุรกิจ DG และนวัตกรรมพลังงาน โดยธุรกิจ DG ของบริษัทนั้นประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าชีวมวล การผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคา ธุรกิจผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer -- SPP) ภายใต้ระบบโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Cogeneration) และโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองหรือจำหน่ายตรงให้แก่ลูกค้า (Independent Power Supply -- IPS) ส่วนธุรกิจนวัตกรรมพลังงานนั้นประกอบไปด้วยเทคโนโลยีการชาร์จพลังงานสำหรับรถไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (Battery Energy Storage System -- BESS) และธุรกิจ ?Behind-the-Meter? ซึ่งช่วยบริหารจัดการการใช้ไฟฟ้าสำหรับทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน
มีบูรณาการกับ กฟภ. ในระดับสูง
บริษัทมีการบูรณาการในระดับสูงกับ กฟภ. ทั้งนี้ นับตั้งแต่การจัดตั้งบริษัท กฟภ. ได้ส่งผู้บริหารระดับสูงรวมถึงพนักงานที่มีประสบการณ์สูงจำนวนหนึ่งเข้ามาร่วมงานกับบริษัท นอกจากนี้ กฟภ. ยังแต่งตั้งผู้บริหารอาวุโสรวมถึงกรรมการให้เข้ามาดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการของบริษัทอีกด้วย
กฟภ. มีส่วนร่วมโดยตรงอย่างใกล้ชิดในกระบวนการตัดสินใจลงทุนของบริษัทเนื่องจากบริษัทต้องพึ่งพาเงินเพิ่มทุนจาก กฟภ. เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ การลงทุนของบริษัทส่วนใหญ่จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการทั้งของบริษัทเองและของ กฟภ. ด้วย ทั้งนี้ การลงทุนที่บริษัทเข้าไปมีส่วนร่วมมากกว่า 25% นั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนอีกด้วย
สำหรับการสนับสนุนด้านธุรกิจจาก กฟภ. นั้น โครงการงานก่อสร้างจำนวนมากของบริษัทได้รับการจัดสรรมาจาก กฟภ. โดยตรง และธุรกิจฝึกอบรมบุคคลภายนอกซึ่ง กฟภ. ไม่ถือว่าเป็นธุรกิจหลักนั้น กฟภ. ก็มอบหมายให้เป็นหน้าที่ของบริษัทด้วยเช่นกัน ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถมีรายได้สม่ำเสมอ
กิจการมีขนาดใหญ่ขึ้น
กิจการของบริษัทประกอบไปด้วยการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าและธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน รวมไปถึงการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างภาคเอกชนด้วยกัน (Private PPA) โดยเงินลงทุนของบริษัทในโครงการโรงไฟฟ้าและการผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาถือเป็นแหล่งสำคัญของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทมีกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าที่กำลังดำเนินการอยู่ ณ เดือนมีนาคม 2566 รวมทั้งสิ้น 62.8 เมกะวัตต์ตามสัดส่วนความเป็นเจ้าของในแต่ละโครงการ ซึ่งโครงการโรงไฟฟ้าที่บริษัทเป็นเจ้าของเหล่านี้ประกอบไปด้วยโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าชีวมวล โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม SPP และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคา
บริษัทอยู่ระหว่างการขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้าด้วยการพัฒนาโรงไฟฟ้าชีวมวล 1 แห่ง โครงการโรงไฟฟ้า IPS อีก 1 แห่ง และโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์อีก 1 แห่ง ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าภายในปี 2567 โครงการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นให้แก่บริษัทที่จำนวน 136 เมกะวัตต์ โดยจะเริ่มทยอยดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในช่วงระหว่างปี 2566-2567 ในขณะเดียวกัน บริษัทก็พยายามมองหาโอกาสที่จะลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้า SPP เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัทด้วย
บริษัทมีเป้าหมายเมื่อแรกเริ่มที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาให้ถึง 200 เมกะวัตต์ภายในปี 2564 อย่างไรก็ดี ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงและภาวะเศรษกิจที่ตกต่ำในช่วงปี 2563-2564 กำลังการผลิตรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 33.6 เมกะวัตต์เท่านั้น ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งประมาณการว่าบริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตของโครงการดังกล่าวในช่วงระหว่างปี 2566-2567 ได้ที่ประมาณปีละ 15-25 เมกะวัตต์ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังมีเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจในด้านนวัตกรรมพลังงานอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการและการให้บริการด้านพลังงานแบบครบวงจร สถานีชาร์จพลังงานสำหรับรถไฟฟ้า รวมทั้งธุรกิจกักเก็บพลังงานแบบแบตเตอรี่ (หรือ BESS) ทั้งนี้ บริษัทกำลังพัฒนาโครงการ BESS ที่เกาะสมุยภายใต้สัญญาให้บริการระยะยาวกับ กฟภ. โดยโครงการนี้มีเป้าหมายที่จะช่วยเพิ่มความเสถียรให้แก่กระแสไฟฟ้าในเกาะสมุยและช่วยลดช่วงเวลากระแสไฟฟ้าขัดข้องในเกาะสมุยและเกาะรอบข้าง
การสนับสนุนที่แข็งแกร่งจาก กฟภ.
บริษัทได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จาก กฟภ. ทั้งในด้านการดำเนินงานและด้านการเงิน โดยประมาณ 38% ของพนักงานของบริษัทเป็นพนักงานของ กฟภ. ที่มาช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ กฟภ. ยังมีการเพิ่มทุนให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่องเพื่อสนับสนุนแผนการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจของบริษัทอีกด้วย ทั้งนี้ ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วจำนวนทั้งสิ้น 4.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวจากจำนวน 1.4 พันล้านบาทเมื่อเดือนธันวาคม 2561 โดยบริษัทได้นำเงินทุนเหล่านี้ไปใช้ลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์และลงทุนในด้านการผลิตไฟฟ้าและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน
ทริสเรทติ้งเชื่อว่า กฟภ. จะยังคงให้การสนับสนุนแก่บริษัทอย่างเต็มที่อย่างต่อเนื่องต่อไปเนื่องจากบริษัทเป็นบริษัทลูกที่มีความสำคัญต่อแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวของ กฟภ. นอกจากนี้ กฟภ. จะมอบหมายให้บริษัทดำเนินธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของ กฟภ. ซึ่งได้แก่ บริการฝึกอบรม รวมถึงการทำสัญญาก่อสร้างในโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าอีกด้วย โดยธุรกิจเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทมีรายได้ประจำที่สม่ำเสมอ
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้จะอยู่ที่ระดับ 250-270 ล้านบาทในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 500 ล้านบาทในปี 2568
? โครงการ BESS จะเริ่มเปิดดำเนินงานในปี 2567
? กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์บนหลังคาจะเพิ่มขึ้นปีละ 15-25 เมกะวัตต์ในช่วงระหว่างปี 2566-2568
? จะมีการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนในช่วงปี 2566-2568 รวมประมาณ 6.0-6.5 พันล้านบาทโดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์บนหลังคา ธุรกิจ BESS รวมถึงการลงทุนอื่นในธุรกิจผลิตไฟฟ้าที่ยังไม่เป็นภาระผูกพัน
? รายได้จากเงินปันผลรับจะอยู่ที่ 40-45 ล้านบาทในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นเป็น 100-150 ล้านบาทในปี 2568 จากการลงทุนหลักในธุรกิจผลิตไฟฟ้า
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสถานภาพในการเป็นบริษัทย่อยหลักของ กฟภ. และจะยังคงมีบทบาทที่สำคัญในการเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ลงทุนของ กฟภ. รวมถึงจะยังคงมียุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับ กฟภ. ต่อไป
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะเครดิตของ กฟภ. เสื่อมถอยลงอย่างมีสาระสำคัญ ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญใด ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อบทบาทของบริษัทและความเชื่อมโยงที่บริษัทมีกับ กฟภ. หรือการสนับสนุนจาก กฟภ. ที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญก็อาจจะส่งผลกดดันในด้านลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ, 7 กันยายน 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (PEA-Encom)
อันดับเครดิตองค์กร: AAA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable