ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB? และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันที่ระดับ ?BBB-? ด้วยแนวโน้ม ?Negative? หรือ ?ลบ? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ ?BBB-? ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่นี้ไปใช้ชำระคืนหนี้ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและขยายธุรกิจ
อันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรอยู่ 1 ขั้นนั้นสะท้อนถึงสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัทที่ด้อยกว่าของหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันเนื่องจากหนี้มากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทมีหลักประกัน โดย ณ เดือนธันวาคม 2565 บริษัทมีสัดส่วนระหว่างหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 57% ซึ่งเกินกว่า ?เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้? ของทริสเรทติ้งที่ระดับ 50%
อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในการรับงานก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐขนาดใหญ่และมูลค่างานในมือจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็ลดทอนลงจากความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรง การเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัสดุและค่าแรง ความเสี่ยงทางการเงินที่สูงขึ้น ลักษณะของธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีวงจรธุรกิจผันผวนและการที่บริษัทพึ่งพางานก่อสร้างขนาดใหญ่เพียงไม่กี่โครงการ
สถานะทางการเงินของบริษัทถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ระยะเวลาในการเรียกเก็บเงินที่ยาวนานขึ้นจนทำให้ลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงินและลูกหนี้การค้ารวมกันมีจำนวนมากส่งผลให้หนี้สินรวมของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาอยู่ที่ 2.18 หมื่นล้านบาทในปี 2565 จากระดับต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทในปี 2561 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงถึง 12.9 เท่าในปี 2565 จากอดีตที่อยู่ที่ระดับ 2-4 เท่า
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทลดลงสู่ระดับ 10%-15% ในช่วงปี 2564-2565 เทียบกับประมาณ 17%-20% ในอดีตที่ผ่านมา อัตรา EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ของบริษัทก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน โดยลดลงสู่ 12% ในปี 2565 ต่ำกว่าระดับ 19%-22% ในอดีตที่ผ่านมา โดยสาเหตุที่ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาจากการแข่งขันราคาในการประมูลงานและต้นทุนวัสดุและค่าแรงที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น
ในอนาคตทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางการเงินของบริษัทจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการลดลูกหนี้การค้ารวมทั้งลูกหนี้การค้าที่ยังไม่เรียกเก็บเงินและรักษาความสามารถในการทำกำไรเป็นส่วนใหญ่ แต่เนื่องจากความไม่แน่นอนในระดับหนึ่ง ทริสเรทติ้งจึงประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอาจสูงเกินกว่า 8 เท่าในระยะเวลาที่นานขึ้น ในกรณีนี้ ทริสเรทติ้งอาจพิจารณาปรับลดอันดับอันดับเครดิตได้ในอนาคต
สภาพคล่องของบริษัทค่อนข้างตึงตัวแต่สามารถบริหารจัดการได้ บริษัทมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวนมาก ประกอบไปด้วยเงินกู้โครงการระยะสั้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินจากธนาคารจำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท หนี้สินระยะยาวจำนวน 61 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 3 พันล้านบาท การชำระหนี้ระยะสั้นค่อนข้างมีความยืดหยุ่นในเรื่องของระยะเวลาในการชำระหนี้เนื่องจากโดยปกติธนาคารจะขยายหรือต่ออายุสัญญาชำระเงินให้เหมาะสมกับระยะเวลาของโครงการ โดยการชำระหนี้ระยะสั้นจะมาจากเงินที่จะได้รับจากเจ้าของโครงการ หนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดน่าจะได้รับการชำระจากเงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัท หุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระในปี 2566 ได้รับการชำระโดยหุ้นกู้ที่บริษัทออกใหม่จำนวน 2,281 ล้านบาทในเดือนมกราคม 2566 นอกจากนี้ บริษัทยังมีเงินสดในมือประมาณ 4 พันล้านบาทและมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสภาบันการเงินอีกประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาทเพื่อใช้สนับสนุนงานก่อสร้างในอนาคต
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนผลการดำเนินงานที่อ่อนแอกว่าที่คาดไว้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังสะท้อนความกังวลของทริสเรทติ้งจากสถานะทางการเงินของบริษัทที่อาจจะอ่อนแอลงกว่าระดับปัจจุบันจากอัตรากำไรที่ลดลงและภาระหนี้และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นเพื่อสนับสนุนความต้องการเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการและอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทสูงเกินกว่า 8 เท่าโดยไม่มีสัญญาณฟื้นตัว ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับสู่ระดับ ?Stable? หรือ ?คงที่? หากผลการดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตามประมาณการและบริษัทสามารถปรับปรุงสถานะทางการเงินให้ดีขึ้นจนทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทลดลงจนต่ำกว่าระดับ 8 เท่าได้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) (UNIQ)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
UNIQ248A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 839.3 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB-
UNIQ257A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,440.1 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 BBB-
UNIQ262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB-
UNIQ267A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,441.5 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB-
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายใน 4 ปี BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative