ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?BBB-? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงอุปสงค์ผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติทั่วโลกที่มีอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดของบริษัทในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางในธุรกิจยางธรรมชาติของประเทศไทยและผลงานที่ได้รับการยอมรับทั้งในด้านการผลิตและการจำหน่ายยางธรรมชาติอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากความผันผวนของราคายางธรรมชาติและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมถึงการที่บริษัทมีตลาดที่กระจุกตัวและมีฐานการผลิตเพียงแห่งเดียว ตลอดจนการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ประกอบการอื่นที่ยังคงอยู่ในอุตสาหกรรม และความท้าทายต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอน
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
รายได้เติบโตเพียงเล็กน้อย
บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ระดับ 2.52 หมื่นล้านบาทในปี 2565 โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.44 หมื่นล้านบาทในปี 2564 ทั้งนี้ รายได้รวมของบริษัทมาจากผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ ซึ่งการเติบโตของรายได้นั้นมาจากราคาขายเฉลี่ยของยางธรรมชาติที่ปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทยังคงอยู่ที่ระดับ 2.4 พันล้านบาทในปี 2565
รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 เติบโต 12% มาอยู่ที่ระดับ 6.3 พันล้านบาทเนื่องจากยอดขายของผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและการแข่งขันที่สูงขึ้นในอุตสาหกรรม
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยในปี 2566 และจะเติบโตเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 2%-7% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568 ทั้งนี้ รายได้ที่เติบโตเพียงเล็กน้อยนั้นสอดคล้องกับสมมติฐานของทริสเรทติ้งที่คาดว่าบริษัทจะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดในอุตสาหกรรมยางธรรมชาติได้และการคาดการณ์ที่สต็อกยางธรรมชาติในตลาดหลัก ๆ เช่น จีน จะทยอยปรับตัวลดลง
สามารถรักษาผลการดำเนินงานทางการเงินไว้ได้
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ 12.1% ในปี 2565 อันเนื่องมาจากผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบเฉลี่ยที่สามารถจัดการได้ และการที่บริษัทดำเนินกลยุทธ์ในการซื้อขายแบบ Back-to-back โดยมีการบริหารจัดการปริมาณการขายและปริมาณการซื้อให้สอดคล้องเหมาะสมกัน
อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.7% อันเป็นผลมาจากราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติทุกประเภทที่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าราคายางธรรมชาติจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2566 จากการที่อุปสงค์ยางธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นและการคาดการณ์ที่ผู้ผลิตยางล้อจะมีระดับสต็อกสินค้าคงเหลือที่ลดลง
ในอนาคตบริษัทมีนโยบายที่ยังคงมุ่งเน้นการรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและสร้างประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดจากการขยายการผลิตในโรงงานยางธรรมชาติแห่งใหม่ในพื้นที่เดิมในจังหวัดบุรีรัมย์ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าบริษัทน่าจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ที่ระดับประมาณ 12% เอาไว้ได้ในช่วงระหว่างปี 2566-2568
โครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้น
บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53.8% ณ เดือนธันวาคม 2565 และที่ระดับ 49.6% ณ เดือนมีนาคม 2566 จากเดิมที่ระดับ 58.1% ในปี 2564 ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการที่บริษัทมีฐานเงินทุนที่สูงขึ้นจากกำไรสะสมที่ปรับเพิ่มขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดว่าค่าใช้จ่ายลงทุนโดยรวมของบริษัทจะอยู่ที่ระดับประมาณ 900 ล้านบาทในระหว่างปี 2566-2568 ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทน่าจะอยู่ที่ระดับ 37%-47% ในช่วงเวลาดังกล่าว
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่ดี
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีสภาพคล่องที่แข็งแกร่งในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม 2566 บริษัทมีแผนการใช้เงินในช่วง 12 เดือนข้างหน้าซึ่งประกอบด้วยภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระจำนวนทั้งสิ้น 1.4 พันล้านบาท เงินลงทุนตามแผนจำนวน 500 ล้านบาท และการจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 40% ในขณะที่แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 644 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จำนวน 4.5 หมื่นล้านบาท รวมถึงเงินทุนจากการดำเนินงานที่คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 พันล้านบาทในปี 2566
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดทางการเงินในส่วนที่เกี่ยวกับภาระหนี้สินทางการเงินได้ โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ระดับ 0.97 เท่าซึ่งต่ำกว่าข้อกำหนดทางการเงินที่ระดับ 2.5 เท่า
ณ เดือนมีนาคม 2566 บริษัทมีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 7.7 พันล้านบาทซึ่งรวมถึงภาระหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนที่จำนวน 1.6 พันล้านบาท ทั้งนี้ อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้สินรวมของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางที่ 21%
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? รายได้รวมจะลดลงที่ระดับ 5% ในปี 2566 และจะเติบโตที่ระดับ 2%-7% ในช่วงระหว่างปี 2567-2568
? อัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ระดับประมาณ 12% ต่อปีในช่วงระหว่างปี 2566-2568
? ค่าใช้จ่ายลงทุนโดยรวมจะอยู่ที่ระดับ 500 ล้านบาทในปี 2566 และจะอยู่ที่ระดับ 100-250 ล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจยางธรรมชาติได้ต่อไปโดยที่บริษัทจะรักษาสถานะสภาพคล่องและสร้างความแข็งแกร่งของงบดุลให้เพียงพอที่จะรองรับผลกระทบจากความผันผวนของราคายางธรรมชาติได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้หากบริษัทมี EBITDA เกินกว่าระดับ 2.5 พันล้านบาทและมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ต่ำกว่า 2.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การปรับลดอันดับเครดิตสามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกินกว่าระดับ 5 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง ซึ่งกรณีดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้หากอัตรากำไรของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่บริษัทไม่สามารถแบกรับต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นได้ หรือหากอุปสงค์ยางล้อทั่วโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การลงทุนที่ใช้เงินกู้จำนวนมากที่อาจทำให้งบการเงินและกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทอ่อนแอลงก็อาจจะเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทด้วยเช่นกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) (NER)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB-
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable