ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ ?A? ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้ประกอบการรายใหญ่ซึ่งมีโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบที่ครอบคลุมในเขตพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor ? EEC) ตลอดจนบริการที่ไว้วางใจได้และประสบการณ์ที่ยาวนาน รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวก็มีปัจจัยลดทอนบางส่วนจากภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นของบริษัทอันเนื่องมาจากการลงทุนจำนวนมากในการก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำใหม่
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
การแข่งขันคาดว่าจะรุนแรงขึ้น
ทริสเรทติ้งคาดว่าการจำหน่ายน้ำดิบในเขตพื้นที่ EEC จะมีการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาในตลาด ทั้งนี้ บริษัทได้สูญเสียสถานะในการเป็นผู้ให้บริการน้ำดิบแต่เพียงรายเดียวภายหลังจากที่กรมธนารักษ์ได้เลือกผู้ประกอบการเอกชนรายใหม่ให้เข้ามาเช่าและบริหารจัดการโครงข่ายท่อส่งน้ำของกรมธนารักษ์ในเขตพื้นที่ EEC ในปี 2564 โดยโครงข่ายท่อส่งน้ำนี้มีความยาว 136 กิโลเมตร (กม.) ซึ่งประกอบด้วยท่อส่งน้ำดอกกราย ท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และท่อส่งน้ำหนองค้อ?แหลมฉบัง (ระยะที่ 1 และ 2) ในเดือนเมษายน 2566 บริษัทได้โอนท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อและท่อส่งน้ำหนองค้อ?แหลมฉบัง ระยะที่ 2 รวมความยาวทั้งสิ้น 59 กม. ให้แก่ผู้ประกอบการรายใหม่เรียบร้อยแล้ว และส่วนที่เหลือบริษัทจะโอนให้แก่ผู้ประกอบการรายใหม่ภายในปลายเดือนธันวาคม 2566 นี้
ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 บริษัทมีท่อน้ำประธานและท่อจ่ายน้ำรวมความยาวทั้งสิ้น 464 กม. ซึ่งประกอบด้วยท่อน้ำของบริษัทเองที่ความยาว 387 กม. และท่อน้ำที่เช่ามาจากกรมธนารักษ์ที่ความยาว 77 กม. ทั้งนี้ จากข้อมูลตัวเลขในปี 2565 ระบุว่าปริมาณน้ำดิบที่จำหน่ายผ่านท่อส่งน้ำของกรมธนารักษ์มีสัดส่วนคิดเป็น 61% ของปริมาณน้ำดิบทั้งหมดที่บริษัทจำหน่าย
ยังคงสถานะเป็นผู้ให้บริการน้ำดิบรายใหญ่ในเขต EEC ต่อไป
ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะยังคงเป็นผู้ให้บริการน้ำดิบเจ้าหลักในเขต EEC ต่อไป โดยขณะนี้บริษัทกำลังก่อสร้างท่อส่งน้ำใหม่ที่มีความยาวทั้งสิ้น 136 กม. ซึ่งประกอบด้วยท่อส่งน้ำที่ขนานไปกับท่อส่งน้ำของกรมธนารักษ์ความยาว 94 กม. และท่อส่งน้ำใหม่ความยาว 42 กม. ที่เชื่อมกับอ่างเก็บน้ำคลองหลวง ระบบท่อส่งน้ำใหม่ดังกล่าวคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปลายปี 2566 นี้ โดยระบบท่อส่งน้ำของบริษัทจะสามารถให้บริการน้ำดิบแก่ลูกค้าแบบคู่ขนานไปกับระบบท่อส่งน้ำของกรมธนารักษ์ที่มีผู้ให้บริการรายใหม่เป็นผู้ดำเนินการ
โดยรวมแล้วบริษัทจะมีโครงข่ายท่อส่งน้ำที่ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 523 กม. ซึ่งเชื่อมต่อกับอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ของภาครัฐ รวมถึงแม่น้ำ และอ่างเก็บน้ำเอกชน ซึ่งการมีโครงข่ายท่อส่งน้ำที่ครอบคลุมนี้เป็นจุดแข็งในการแข่งขันที่สำคัญของบริษัทเนื่องจากเป็นการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงแหล่งน้ำที่หลากหลายและไว้วางใจได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดสถานการณ์ภัยแล้ง ทั้งนี้ ในปี 2565 ความจุของแหล่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำของภาครัฐและเอกชนที่บริษัทมีสิทธิ์สูบมาใช้ได้นั้นอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 427 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อปีซึ่งเป็นความจุสูงสุดในปัจจุบัน โดยน้ำที่สูบมาใช้คิดเป็น 67% ของแหล่งน้ำทั้งหมดของบริษัทในปี 2565
อุปสรรคในการเข้ามาแข่งขันของผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ นั้นมีค่อนข้างสูงเนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและมีความยากลำบากในการได้ใบอนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการก่อสร้างท่อส่งน้ำและสิทธิ์ในการสูบน้ำจากแหล่งน้ำ
อุปสงค์ในการใช้น้ำที่สูงขึ้นช่วยบรรเทาผลกระทบจากการสิ้นสุดสัญญาเช่าท่อส่งน้ำ
ทริสเรทติ้งคาดว่าสัญญาเช่าท่อส่งน้ำที่สิ้นสุดลงนั้นจะมีผลกระทบต่อบริษัทค่อนข้างน้อยเนื่องจากอุปสงค์น้ำดิบและน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมที่เพิ่มสูงขึ้นในเขต EEC ทั้งนี้ จากสมมติฐานกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้ง ยอดขายน้ำดิบของบริษัทในปี 2566 จะลดลงประมาณ 10% เนื่องจากบริษัทได้ส่งมอบท่อส่งน้ำของกรมธนารักษ์จำนวน 2 ท่อไปแล้วเมื่อเดือนเมษายน 2566 ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2567-2568 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาฐานลูกค้าเดิมที่รับน้ำจากท่อของกรมธนารักษ์เอาไว้ได้ในสัดส่วน 70%-80% หลังจากที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามารับผิดชอบระบบท่อส่งน้ำทั้งหมดของกรมธนารักษ์แล้ว อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอุปสงค์น้ำดิบจะยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากการฟื้นตัวของกิจกรรมต่าง ๆ ในภาคอุตสาหกรรมผนวกกับแนวโน้มที่จะเกิดสถานการณ์ภัยแล้งในช่วงระหว่างปี 2567-2568 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะจำหน่ายน้ำเพื่อการอุตสาหกรรมให้มากขึ้นโดยให้สอดคล้องกับปริมาณที่บริษัทมีอยู่แล้วกับลูกค้าตามสัญญา ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่ารายได้รวมของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 4 พันล้านบาทในปี 2566 และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.2-4.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568
ความสามารถในการทำกำไรจะยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ลดลง
ทริสเรทติ้งคาดว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงเป็นที่น่าพอใจแม้ว่าจะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นหลังจากบริษัทสูญเสียสิทธิ์ในการบริหารจัดการท่อส่งน้ำของกรมธนารักษ์ให้แก่ผู้ประกอบการรายใหม่ก็ตาม ส่วนการแข่งขันในด้านราคานั้นคาดว่าจะสูงขึ้น ในขณะที่ราคาจำหน่ายน้ำดิบโดยเฉลี่ยในระหว่างปี 2567-2568 นั้นคาดว่าจะลดลง 5% เมื่อเทียบกับในปัจจุบันจากผลของการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทน่าจะยังคงแข็งแกร่งโดยอยู่ที่ระดับประมาณ 1.8-2 พันล้านบาทต่อปีตลอดช่วงปีประมาณการ โดยอาจลดลงราว ๆ 10%-15% จากระดับ 2.0-2.4 พันล้านบาทในช่วงระหว่างปี 2558-2565 ส่วนอัตรา EBITDA Margin นั้นก็น่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับราว ๆ 45% ในช่วงปีประมาณการ จากระดับ 48%-55% ในช่วงระหว่างปี 2558-2565
ภาระหนี้จะเพิ่มขึ้นจากโครงการลงทุนก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำใหม่
บริษัทอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบท่อส่งน้ำใหม่เพื่อทดแทนท่อส่งน้ำเดิมที่หมดสัญญาเช่าและเพื่อจะรักษาลูกค้าเดิมของบริษัทเอาไว้ โดยเงินลงทุนคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 5.6 พันล้านบาท
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีประมาณการเพื่อรองรับแผนการลงทุนจำนวนประมาณ 4.2 พันล้านบาทในปี 2566 และจำนวน 1.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2567-2568 ทั้งนี้ นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายลงทุนที่เพิ่มเข้ามาเพื่อสร้างระบบท่อส่งน้ำทดแทนระบบเดิมที่เช่าจากกรมธนารักษ์แล้ว บริษัทยังวางแผนจะลงทุนก่อสร้างท่อส่งน้ำใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของลูกค้าและเพื่อลดผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งที่ยากจะคาดการณ์ โดยแผนดังกล่าวยังรวมถึงการก่อสร้างท่อส่งน้ำใหม่เพื่อเชื่อมต่อกับอ่างเก็บน้ำคลองหลวงซึ่งคาดว่าจะเพิ่มแหล่งน้ำที่ให้บริการแก่พื้นที่ในจังหวัดชลบุรีตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
บริษัทจะนำเงินลงทุนส่วนที่เหลือไปใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบท่อส่งน้ำในพื้นที่ EEC รวมทั้งใช้พัฒนาเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการให้บริการน้ำโดยรวมแบบครบวงจร ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นประมาณ 55% ในระหว่างปี 2566-2568 และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 8 เท่าในช่วงเดียวกัน
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทอยู่ที่ระดับ 51% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 5.9 เท่า
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องที่เพียงพอสำหรับช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยแหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นจำนวน 1 พันล้านบาทรวมทั้งวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากสถาบันการเงินอีกจำนวน 2.7 พันล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 นอกจากนี้ เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าก็คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านบาท ทริสเรทติ้งมองว่าแหล่งเงินทุนเหล่านี้น่าจะเพียงพอในการจ่ายชำระหนี้และลงทุนของบริษัทในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทจะต้องจ่ายชำระหนี้เงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 1.6 พันล้านบาท ในขณะที่งบประมาณสำหรับการลงทุนในปี 2566 นั้นอยู่ที่จำนวนราว ๆ 4.2 พันล้านบาท โดยบริษัทยังมีแผนการจะออกหุ้นกู้เพิ่มเติมอีกจำนวน 2.9 พันล้านบาทเพื่อรองรับการลงทุนอีกด้วย
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขของหุ้นกู้ได้ในช่วงเวลา 12-18 เดือนข้างหน้า โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ 1.2 เท่าซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขของหุ้นกู้ที่กำหนดไว้ที่ 2 เท่าเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ สัดส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนของบริษัทจึงอยู่ที่ 4% ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? บริษัทจะสามารถรักษาลูกค้าจากระบบท่อส่งน้ำที่หมดสัญญาเช่าได้ในสัดส่วน 70%-80%
? รายได้จะอยู่ที่ระดับ 4.1-4.5 พันล้านบาทต่อปีในระหว่างปี 2566-2568
? อัตรา EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับ 45% ในระหว่างปี 2566-2568
? งบลงทุนรวมจะอยู่ที่ระดับ 4.2 พันล้านบาทในปี 2566 และ 1.5 พันล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2567-2568
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาฐานลูกค้าส่วนใหญ่เอาไว้ได้และยังคงสร้างกระแสเงินสดได้ตามที่ทริสเรทติ้งประมาณการไว้แม้ว่าจะมีการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายใหม่ก็ตาม
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
การปรับเพิ่มอันดับเครดิตน่าจะยังไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ ในขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจเกิดจากการที่บริษัทสูญเสียลูกค้าเป็นจำนวนมากหรือบริษัทไม่สามารถสร้างระบบท่อส่งน้ำใหม่เพื่อทดแทนระบบท่อส่งน้ำเดิมที่เช่าจากกรมธนารักษ์ได้
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EASTW)
อันดับเครดิตองค์กร: A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
EASTW256A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A
EASTW25DA: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 350 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2568 A
EASTW275A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 850 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 A
EASTW325A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 750 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2575 A
EASTW332A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2576 A
อันดับเครดิตตราสารหนี้: Stable