ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) และอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ ?BBB+? ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันในสัดส่วน 70% ของบริษัทที่ระดับ ?A? โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการค้ำประกันบางส่วนจาก Credit Guarantee and Investment Facility (CGIF, อันดับเครดิต ?AAA/Stable?) อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น?Negative? หรือ ?ลบ? จาก ?Stable? หรือ ?คงที่? สะท้อนถึงแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอลงของบริษัทจากการที่ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มีแนวโน้มลดลง และความเสี่ยงจากภาระหนี้ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น
อันดับเครดิตยังคงคำนึงถึงเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่กว้างขวางของบริษัท สถานะทางการตลาดในฐานะผู้จัดจำหน่ายก๊าซ LPG ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย และปริมาณการขายที่ฟื้นตัว อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการที่บริษัทมีความอ่อนไหวในระดับสูงต่อความผันผวนของราคา LPG ในตลาดต่างประเทศแม้ว่าจะได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาคก็ตาม
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
เครือข่ายการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง
อันดับเครดิตพิจารณาถึงเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่กว้างขวาง และสิ่งอำนวยความสะดวกของบริษัทซึ่งสนับสนุนความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจการค้า LPG ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นอย่างมาก บริษัทเป็นเจ้าของคลังเก็บ LPG ขนาดใหญ่ 2 แห่งในประเทศจีนซึ่งมีความจุรวมถึง 3 แสนตัน คลังเก็บ LPG ลอยน้ำขนาด 4.5 หมื่นตัน ตลอดจนกองเรือขนส่งก๊าซ นอกจากนี้บริษัทยังมีถังเก็บก๊าซขนาดย่อมลงมาหรือโรงบรรจุก๊าซ LPG ในประเทศมาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และล่าสุดใน สปป.ลาว อีกด้วย
ในขณะเดียวกัน สิ่งอำนวยความสะดวกด้านลอจิสติกส์ของบริษัทในประเทศไทย ได้แก่ คลังเก็บ LPG 9 แห่ง โรงบรรจุก๊าซและสถานีบริการ LPG รถยนต์ที่แพร่หลาย รวมถึงมีรถและเรือขนส่ง LPG จำนวนมาก ทริสเรทติ้งมองว่าเครือข่ายการจัดจำหน่ายดังกล่าวทำให้บริษัทได้เปรียบกว่าคู่แข่งส่วนใหญ่ที่อยู่ในตลาด
การฟื้นตัวของปริมาณการขายหลังการแพร่ของโรคระบาด
ปริมาณการขาย LPG ของบริษัทอยู่ที่ 3.6 ล้านตันในปี 2565 แสดงถึงการฟื้นตัว 9.6% จากช่วงตกต่ำในปี 2563 และ 2564 ที่เกิดจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ปริมาณการขาย LPG ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น 10.8% เป็น 2.8 ล้านตัน ในขณะเดียวกัน ยอดขายในประเทศก็เพิ่มขึ้น 5.4% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของการใช้ LPG ในภาคอุตสาหกรรมและภาคยานยนต์ โดยการฟื้นตัวของการใช้ LPG สำหรับรถยนต์ในประเทศเกิดจากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างมาก อย่างไรก็ดี ทริสเรทติ้งมองว่าความต้องการ LPG ในภาคยานยนต์ที่เพิ่มขึ้นจะคงอยู่ในช่วงสั้น ๆ โดยยังมีแนวโน้มขาลงในระยะยาว ส่วนในไตรมาสแรกของปี 2566 ปริมาณการขายก๊าซ LPG ของบริษัททรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
สัดส่วนปริมาณการขาย LPG ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 78% ในปี 2565 จาก 75% ในปี 2562 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากตลาดต่างประเทศยังมีศักยภาพในการเติบโต อย่างไรก็ตาม การซื้อขาย LPG ในต่างประเทศมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของราคามากกว่าตลาดในประเทศ
รักษาตำแหน่งที่สองในตลาดในประเทศ
สถานะทางการตลาดในประเทศของบริษัทนั้นแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากชื่อเสียงที่สั่งสมมาอย่างยาวนานและการประหยัดต่อขนาด อย่างไรก็ตาม ส่วนแบ่งตลาด LPG ของบริษัททยอยลดลงจากประมาณ 25% ในปี 2562 มาอยู่ที่ประมาณ 22% ในปี 2565 การแข่งขันทวีความรุนแรงขึ้นเนื่องจากมีผู้ประกอบการรายหนึ่งดำเนินธุรกิจเชิงรุกในธุรกิจ LPG รถยนต์ นอกจากนี้การแข่งขันยังลุกลามไปยังกลุ่มธุรกิจก๊าซหุงต้ม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มธุรกิจก๊าซหุงต้มและ LPG ในภาคอุตสาหกรรมได้ ในขณะที่ส่วนแบ่งตลาด LPG รถยนต์คาดว่าจะทยอยหดตัวลง ดังนั้น บริษัทจึงวางแผนจะเปลี่ยนสถานีบริการ LPG รถยนต์บางแห่งเป็นสถานีบริการน้ำมันแทน
อ่อนไหวต่อการแกว่งตัวของราคา LPG
บริษัทได้สร้างฐานลูกค้าในหลายประเทศ โดยมีประเทศจีนเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญและมีสัดส่วนประมาณ 31% ของปริมาณการขายทั้งหมดในปี 2565 ในขณะเดียวกัน การค้า LPG ในต่างประเทศของบริษัทในประเทศต่าง ๆ มีสัดส่วนอีกประมาณ 39% ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาค แต่ทริสเรทติ้งก็คาดว่าบริษัทจะยังคงมีความอ่อนไหวสูงต่อความผันผวนของราคา LPG เนื่องจากบริษัทมีแนวโน้มที่จะขยายตลาดในต่างประเทศมากขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ความเสี่ยงที่สูงขึ้นต่อราคา LPG ถูกลดทอนลงบางส่วนจากรายได้ที่มีเสถียรภาพมากกว่าจากการค้า LPG ในประเทศและจากธุรกิจที่ไม่ใช่ LPG เช่น การค้าเคมีภัณฑ์ การให้เช่าถังเก็บน้ำมัน และการค้าส่งน้ำมัน
ผลประกอบการด้านการเงินอ่อนแอกว่าที่คาด
ถึงแม้ว่าปริมาณการขายจะฟื้นตัว แต่บริษัทมีกำไรลดลงเนื่องจากที่บริษัทประสบผลขาดทุนขั้นต้นในตลาดประเทศจีนและการค้าในต่างประเทศ ส่งผลให้กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทลดลง 55% เป็น 2.9 พันล้านบาทในปี 2565 แม้ว่าทริสเรทติ้งจะคาดการณ์ว่า EBITDA จะค่อย ๆ ลดลงสู่ระดับปกติจากกำไรในปี 2564 การลดลงของกำไรเกิดขึ้นหลังจากราคา LPG ลดลงมากอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2565 จากจุดสูงสุดที่ 950 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนเมษายน 2565 มาอยู่ที่ 650 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนธันวาคม 2565 ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทอย่างชัดเจนแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรสูงจากธุรกิจค้าน้ำมันก็ตาม
ในปี 2565 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 5.2 เท่า และอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินลดลงเหลือ 11.6% ราคา LPG ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 และสิ้นสุดที่ 730 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันในเดือนมีนาคม 2566 อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทไม่ได้ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งอย่างเช่นเคยในช่วงที่ราคา LPG เป็นขาขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานขาดดุลในไตรมาสแรกของปี 2566 จากการที่ต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นโดยส่วนหนึ่งมาจากระยะเวลาในการเก็บเงินจากลูกหนี้การค้าที่นานขึ้น ส่งผลให้หนี้สินสุทธิที่ปรับปรุงแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ไปอยู่ที่ 1.88 หมื่นล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2566เนื่องจากบริษัทให้เครดิตการค้าด้วยระยะเวลาที่นานขึ้นแก่ลูกค้าในบางประเทศ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะบริหารความเสี่ยงด้านด้านเครดิตอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ คุณภาพเครดิตของลูกหนี้ที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญจะส่งผลลบต่ออันดับเครดิต
แรงกดดันต่อเนื่องจากราคา LPG ที่ลดลง
แนวโน้มที่บริษัทจะเผชิญกับความยากลำบากในปี 2566 ดูจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก จากที่ปรากฏว่าราคา LPG ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 445 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันในเดือนมิถุนายน 2566 ซึ่งเป็นระดับก่อนเกิดโรคระบาด ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีความเสี่ยงที่จะบันทึกการขาดทุนสต็อกสินค้าอย่าง มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ทั้งนี้ ในประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณการขายของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 9% ในปี 2566 โดยได้รับแรงหนุนจากการกลับมาเปิดประเทศของประเทศจีนและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในตลาดในประเทศ อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรจากการค้า LPG ยังคงถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของราคา LPG ในขณะเดียวกัน คาดว่ากำไรจากธุรกิจอื่นในปี 2566 จะอ่อนตัวลง โดยเฉพาะจากธุรกิจการค้าน้ำมัน โดยรวมแล้ว ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมี EBITDA อยู่ที่ 2.7 พันล้านบาทในปี 2566 ซึ่งต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ประมาณ 3.4 พันล้านบาทต่อปี
ทริสเรทติ้งคาดว่าปริมาณการขายจะเติบโตประมาณ 2% ต่อปีในปี 2567-2568 และคาดว่าราคา LPG จะมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคตแต่ราคาอาจลดลงได้อีกในระยะกลาง ด้วยเหตุนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่า EBITDA ของบริษัทจะฟื้นตัวเป็น 3.3-3.5 พันล้านบาทต่อปีในปี 2567-2568
ภาระหนี้สินอาจยังคงอยู่ในระดับสูง
ในประมาณการกรณีพื้นฐาน ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอีกมาอยู่ที่ 6 เท่าในปี 2566 และจะลดลงเหลือประมาณ 4.5-5.2 เท่าในปี 2567-2568 ในประมาณการได้รวมแผนของบริษัทที่จะจัดซื้อเรือขนส่งก๊าซใหม่ 2 ลำในปี 2567 ด้วย ทั้งนี้ บริษัทยังคงดำเนินแผนการก่อสร้างสินทรัพย์ที่ใช้สำหรับรองรับก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ต่อไป โครงการดังกล่าวจะสนับสนุนธุรกิจใหม่ของบริษัทในการนำเข้าและจำหน่าย LNG ให้แก่ผู้ใช้ภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดกว่า หรือที่คาดว่าจะใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกเมื่อมีราคาที่ดึงดูด ทั้งนี้ การก่อสร้างโครงการอาจใช้เวลาราว 3 ปี และมูลค่าการลงทุนคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 8 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งไม่รวมโครงการนำเข้า LNG ไว้ในประมาณการกรณีพื้นฐาน เนื่องจากไม่คาดว่าโครงการดังกล่าวจะมีความคืบหน้าในเร็ว ๆ นี้ โดยบริษัทยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาความเป็นไปได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ หากโครงการเกิดขึ้นจริง ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นและยังคงอยู่ในระดับสูงตลอดช่วงของการก่อสร้าง เนื่องจากบริษัทมีแนวโน้มที่จะลงทุนในโครงการดังกล่าวโดยการกู้ยืมเงินเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทอาจจะคงอยู่ที่ 6 เท่าต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งในกรณีดังกล่าวทริสเรทติ้งอาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิตลง นอกจากนี้ทริสเรทติ้งยังคงมองว่าโครงการนำเข้า LNG ของบริษัทยังมีความเสี่ยงในการดำเนินการ เนื่องจากบริษัทไม่มีประวัติในการดำเนินงาน มีความไม่แน่นอนในขอบเขตของตลาดเป้าหมาย และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการแข่งขันมากขึ้นหลังจากตลาด LNG ของประเทศไทยเปิดเสรี
สภาพคล่องอยู่ในระดับที่จัดการได้
ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทยังคงมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดย ณ เดือนมีนาคม 2566 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 4 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้เบิกใช้มูลค่าอีกมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดการณ์เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 6.8 พันล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2566 และบริษัทจะมีหนี้ที่ครบกำหนดชำระซึ่งประกอบด้วยเงินกู้ยืมระยะยาวและหนี้สินตามสัญญาเช่าจำนวน 497 ล้านบาท รวมถึงหุ้นกู้จำนวน 6.0 พันล้านบาท จากความต้องการเงินทุนหมุนเวียนและค่าใช้จ่ายจ่ายฝ่ายทุนที่วางแผนไว้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะหมุนเวียน (Rollover) เงินกู้ยืมระยะสั้นและหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระต่อไป
โครงสร้างหนี้
ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 บริษัทมีภาระหนี้สินที่ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่าอยู่ที่ 2.18 หมื่นล้านบาท บริษัทมีหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนจำนวนประมาณ 7.4 พันล้านบาท ดังนั้น อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้ชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับประมาณ 34%
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
? ปริมาณการขายจะสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3.92 ล้านตันในปี 2566 และจะเติบโตประมาณ 2% ต่อปีในช่วง 2567-2568
? รายได้จะอยู่ที่จำนวนทั้งสิ้น 8.7 หมื่นล้านบาทในปี 2566 และจะลดลงเหลือ 7.9 หมื่นล้านบาทในปี 2567 และ 7.8 หมื่นล้านบาทในปี 2568
? EBITDA Margin จะอยู่ที่ระดับประมาณ 3%-4.5%
? เงินลงทุนโดยรวมจะอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาทในปี 2566 และ 5 พันล้านบาทในระหว่างปี 2567-2568
? อัตราการจ่ายเงินปันผลจะอยู่ที่ระดับ 50% ของกำไรสุทธิ
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต ?Negative? หรือ ?ลบ? สะท้อนความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่าบริษัทอาจมีผลการดำเนินงานด้านการเงินที่อ่อนตัวลงเนื่องจากบริษัทเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องจากการลดลงของราคา LPG แนวโน้มยังสะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่หนี้สินทางการเงินของบริษัทจะเพิ่มขึ้นและคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากผลกำไรที่อ่อนตัวลง และความเป็นไปได้ในการลงทุนในสินทรัพย์สำหรับการนำเข้า LNG
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
ทริสเรทติ้งอาจพิจารณาปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น ?Stable? หรือ ?คงที่? หากเห็นแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไร และหากบริษัทจะใช้โครงสร้างเงินลงทุนในโครงการ LNG อย่างระมัดระวัง ซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถคงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 5 เท่าโดยเฉลี่ยในระยะยาว ทั้งนี้ จากแนวโน้มอันดับเครดิตที่เป็น ?Negative? หรือ ?ลบ? นั้น ทำให้การปรับเพิ่มอันดับเครดิตจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้
การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นหากไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวของผลกำไรหรือผลประกอบการของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งประเมินไว้ หรือสถานะทางการเงินยังคงอ่อนด้อยลง ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทยังคงอยู่เกินกว่า 5 เท่าเป็นเวลาระยะเวลานาน
อันดับเครดิตหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนของบริษัทสะท้อนคุณภาพเครดิตของทั้งผู้ออกหุ้นกู้และผู้ค้ำประกันคือ CGIF ซึ่งอันดับเครดิตของหุ้นกู้ดังกล่าวอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านคุณภาพเครดิตของบริษัทหรือของผู้ค้ำประกัน
เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง
- การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ที่มีการค้ำประกันบางส่วน, 27 มกราคม 2566
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป, 15 กรกฎาคม 2565
- อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงินสำหรับธุรกิจทั่วไป, 11 มกราคม 2565
- เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้, 15 มิถุนายน 2564
บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
SGP23DA: หุ้นกู้มีการค้ำประกันบางส่วน (70%) 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2566 A
SGP241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567 BBB+
SGP262A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569 BBB+
SGP272A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 4,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2570 BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้: Negative