บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของ บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (BMWL หรือผู้ออกตราสารหนี้) ที่ระดับ “AAA” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตสะท้อนการค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้จากบริษัทแม่ของ BMWL คือ BMW AG (กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยู หรือผู้ค้ำประกัน) ที่ได้รับอันดับเครดิตในระดับ “A+/Stable” จากแสตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) และ “A1/Stable” จากมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (มูดี้ส์) โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงความเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ราคาแพงระดับโลก ตลอดจนชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยู (บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลสรอยซ์) ความสามารถในการคิดค้นรถยนต์และรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยู
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของตราสารสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของผู้ค้ำประกันคือ BMW AG หรือกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยู นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความสามารถของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูในการคงสถานะความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ราคาแพงทั่วโลก ตลอดจนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และนโยบายทางการเงินที่เข้มงวด ทั้งนี้ มีความคาดหวังว่ากลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูจะสามารถเพิ่มยอดขายและกำไรจากการดำเนินงานให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปี 2555
ทริสเรทติ้งรายงานว่าการค้ำประกันหุ้นกู้โดยกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูนี้อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศเยอรมัน โดยบริษัทแม่ผู้ค้ำประกัน
ตกลงให้การค้ำประกันเต็มจำนวนสำหรับหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้ ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบภาระเงินต้น ดอกเบี้ยจ่าย และหนี้อื่นใดที่เกิดขึ้นภายใต้หุ้นกู้ดังกล่าว ทั้งนี้ ภาระการค้ำประกันของผู้ค้ำประกันมีสถานะทางกฎหมายอยู่ในระดับเดียวกับตราสารหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของผู้ค้ำประกันที่ออกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เงื่อนไขในการชำระหนี้ทุกประการจะชำระเป็นเงินบาทเต็มจำนวนโดยผู้ค้ำประกัน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูให้ความสำคัญกับตลาดรถยนต์ประเภทหรูหราที่มีราคาค่อนข้างสูงซึ่งกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีสถานะที่แข็งแกร่งอยู่ในตลาดนี้ ในปี 2550 กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีส่วนแบ่งทางการตลาดของยอดจำหน่ายรถยนต์ในตลาดโลกประมาณ 2.11% โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทได้แก่รถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลสรอยซ์ ในไตรมาสแรกของปี 2551 กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีรายได้จากธุรกิจรถยนต์ 70.9% จากธุรกิจรถจักรยานยนต์ 2.6% และจากธุรกิจการให้บริการทางการเงิน 26% ทั้งนี้ ธุรกิจรถยนต์และธุรกิจรถจักรยานยนต์จะเรียกรวมกันว่ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม ยอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปี 2551 เพิ่มขึ้น 5.6% ส่วนยอดขายรถจักรยานยนต์ลดลง 8.6% ในขณะที่ยอดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาทางการเงินของธุรกิจการให้บริการทางการเงินเพิ่มขึ้น 15.6% อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2551 ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากปัญหาวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพในตลาดสหรัฐอเมริกา ตลอดจนราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินยูโร ภายใต้แผนงานระยะกลาง กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูได้กำหนดเป้าหมายในปี 2555 ที่จะเพิ่มยอดขายและกำไรของกลุ่ม รวมทั้งจะมีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยทางกลุ่มวางแผนจะเพิ่มยอดขายจาก 1.374 ล้านคันในปี 2549 เป็น 1.8 ล้านคันในปี 2555 และลดสัดส่วนเงินลงทุนจาก 8.8% ของยอดขายรวมในปี 2549 ให้เหลือต่ำกว่า 7% ในปี 2555 นอกจากนี้ กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูยังมีแผนจะเพิ่มอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีของธุรกิจรถยนต์จากประมาณ 6.4% ในปี 2549 ให้ได้ 8%-10% ภายในปี 2555 ด้วย
ฐานะทางการเงินของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะปรับตัวลดลงจาก 8% ในปี 2547 มาอยู่ที่ 6.4% ในปี 2549 และปี 2550 ในปี 2550 กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังจากหักกระแสเงินสดที่ใช้ในการลงทุนของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมมากกว่า 2,000 ล้านยูโรต่อปี ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายระยะกลางที่ตั้งไว้ โดยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังการหักกระแสเงินสดที่ใช้ในการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นกว่า 140% จาก 956 ล้านยูโรในปี 2549 เป็น 2,291 ล้านยูโรในปี 2550 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2551 เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 452 ล้านยูโร อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมภายหลังจากได้รับการปรับปรุงภาระสัญญาเช่าดำเนินงานและแผนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนที่ยังไม่มีการกันไว้อยู่ที่ระดับประมาณ 37%-43% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2551 กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีเงินสดคงเหลือสุทธิ 907 ล้านยูโร โดยมีภาระหนี้สินทางการเงิน 1,970 ล้านยูโร และมีเงินสดคงเหลือ 2,877 ล้านยูโร ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (BMWL)
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้มีการค้ำประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 AAA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
----------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2551 ห้ามไม่มิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของตราสารสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของผู้ค้ำประกันคือ BMW AG หรือกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยู นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความสามารถของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูในการคงสถานะความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ราคาแพงทั่วโลก ตลอดจนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง และนโยบายทางการเงินที่เข้มงวด ทั้งนี้ มีความคาดหวังว่ากลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูจะสามารถเพิ่มยอดขายและกำไรจากการดำเนินงานให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับปี 2555
ทริสเรทติ้งรายงานว่าการค้ำประกันหุ้นกู้โดยกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูนี้อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศเยอรมัน โดยบริษัทแม่ผู้ค้ำประกัน
ตกลงให้การค้ำประกันเต็มจำนวนสำหรับหุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้ ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชอบภาระเงินต้น ดอกเบี้ยจ่าย และหนี้อื่นใดที่เกิดขึ้นภายใต้หุ้นกู้ดังกล่าว ทั้งนี้ ภาระการค้ำประกันของผู้ค้ำประกันมีสถานะทางกฎหมายอยู่ในระดับเดียวกับตราสารหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของผู้ค้ำประกันที่ออกทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เงื่อนไขในการชำระหนี้ทุกประการจะชำระเป็นเงินบาทเต็มจำนวนโดยผู้ค้ำประกัน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูให้ความสำคัญกับตลาดรถยนต์ประเภทหรูหราที่มีราคาค่อนข้างสูงซึ่งกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีสถานะที่แข็งแกร่งอยู่ในตลาดนี้ ในปี 2550 กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีส่วนแบ่งทางการตลาดของยอดจำหน่ายรถยนต์ในตลาดโลกประมาณ 2.11% โดยผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทได้แก่รถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลสรอยซ์ ในไตรมาสแรกของปี 2551 กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีรายได้จากธุรกิจรถยนต์ 70.9% จากธุรกิจรถจักรยานยนต์ 2.6% และจากธุรกิจการให้บริการทางการเงิน 26% ทั้งนี้ ธุรกิจรถยนต์และธุรกิจรถจักรยานยนต์จะเรียกรวมกันว่ากลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม ยอดขายรถยนต์ในไตรมาสแรกของปี 2551 เพิ่มขึ้น 5.6% ส่วนยอดขายรถจักรยานยนต์ลดลง 8.6% ในขณะที่ยอดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาทางการเงินของธุรกิจการให้บริการทางการเงินเพิ่มขึ้น 15.6% อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2551 ลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสาเหตุหลักมาจากปัญหาวิกฤตสินเชื่อด้อยคุณภาพในตลาดสหรัฐอเมริกา ตลอดจนราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินยูโร ภายใต้แผนงานระยะกลาง กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูได้กำหนดเป้าหมายในปี 2555 ที่จะเพิ่มยอดขายและกำไรของกลุ่ม รวมทั้งจะมีการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยทางกลุ่มวางแผนจะเพิ่มยอดขายจาก 1.374 ล้านคันในปี 2549 เป็น 1.8 ล้านคันในปี 2555 และลดสัดส่วนเงินลงทุนจาก 8.8% ของยอดขายรวมในปี 2549 ให้เหลือต่ำกว่า 7% ในปี 2555 นอกจากนี้ กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูยังมีแผนจะเพิ่มอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีของธุรกิจรถยนต์จากประมาณ 6.4% ในปี 2549 ให้ได้ 8%-10% ภายในปี 2555 ด้วย
ฐานะทางการเงินของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะปรับตัวลดลงจาก 8% ในปี 2547 มาอยู่ที่ 6.4% ในปี 2549 และปี 2550 ในปี 2550 กลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังจากหักกระแสเงินสดที่ใช้ในการลงทุนของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมมากกว่า 2,000 ล้านยูโรต่อปี ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายระยะกลางที่ตั้งไว้ โดยกระแสเงินสดจากการดำเนินงานหลังการหักกระแสเงินสดที่ใช้ในการลงทุนในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นกว่า 140% จาก 956 ล้านยูโรในปี 2549 เป็น 2,291 ล้านยูโรในปี 2550 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาสแรกของปี 2551 เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 452 ล้านยูโร อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมภายหลังจากได้รับการปรับปรุงภาระสัญญาเช่าดำเนินงานและแผนเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในส่วนที่ยังไม่มีการกันไว้อยู่ที่ระดับประมาณ 37%-43% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2551 กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมของกลุ่มบีเอ็มดับเบิลยูมีเงินสดคงเหลือสุทธิ 907 ล้านยูโร โดยมีภาระหนี้สินทางการเงิน 1,970 ล้านยูโร และมีเงินสดคงเหลือ 2,877 ล้านยูโร ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (BMWL)
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้มีการค้ำประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 AAA
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
----------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2551 ห้ามไม่มิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว