บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท โรงแรมเซ็นทรัล พลาซา จำกัด (มหาชน) ที่ "A-" และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" พร้อมคงแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" อันดับเครดิตสะท้อนประสบการณ์ที่ยาวนานของคณะผู้บริหารในธุรกิจโรงแรมและอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant -- QSR) การมีแหล่งรายได้ที่กระจายตัวจากธุรกิจทั้ง 2 ประเภท การเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอาหารบริการด่วน และการมีโรงแรมหลักๆ ของกลุ่มที่มีคุณภาพดี นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการสนับสนุนภายในกลุ่มเซ็นทรัลด้วย อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นกับฤดูกาลและถูกกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย รวมทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรง และอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจอาหารบริการด่วน ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปใช้ชำระเงินกู้ระยะสั้นและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน การที่ผู้บริหารมีพันธะที่จะควบคุมระดับของหนี้ที่มีหลักประกันต่อสินทรัพย์รวมให้อยู่ในระดับที่รับได้ทำให้อันดับเครดิตหุ้นกู้เท่ากับอันดับเครดิตองค์กร
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดของโรงแรมและธุรกิจอาหารหลักๆ เอาไว้ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่าผู้บริหารของบริษัทจะยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังในการขยายธุรกิจโรงแรมและอาหารบริการด่วนในอนาคต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทโรงแรมเซ็นทรัล พลาซา ก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรม ต่อมาได้ขยายสู่ธุรกิจอาหารบริการด่วนในปี 2537 ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจโรงแรม 8 แห่งในประเทศไทย (รวม 1,759 ห้อง) ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ โดยรวมโรงแรมแห่งใหม่ คือ เซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ท นอกจากนี้ บริษัทยังประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหารบริการด่วนแบบเครือข่ายของต่างประเทศอีก 5 ตราสัญลักษณ์ คือ "เคเอฟซี" "มิสเตอร์โดนัท" "พิซซ่า ฮัท" "บาสกิ้นส์-ร้อบบิ้นส์" "อานตี้ แอนส์" และอาหารบริการด่วนภายใต้ตราสัญลักษณ์ของบริษัทเองคือ "เสต็ก ฮันเตอร์"
โรงแรม 2 แห่งของบริษัท คือ โซฟิเทลเซ็นทรัลพลาซาและโนโวเทลเซ็นทรัลสุคนธาเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ของกลุ่ม Accor ในขณะที่โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลหัวหินรีสอร์ทมีกลุ่ม Accor เป็นผู้บริหาร ส่วนโรงแรมอื่นๆ ดำเนินการภายใต้ตราสัญลักษณ์ "เซ็นทรัล" ของบริษัทซึ่งบริหารโดยผู้บริหารของกลุ่มเซ็นทรัล ผู้บริหารของโรงแรมในกลุ่มส่วนใหญ่ล้วนมีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจโรงแรมกับเครือข่ายต่างประเทศที่มีชื่อเสียง Accor เป็นหนึ่งในเครือข่ายผู้บริหารโรงแรม10 อันดับแรกที่มีจำนวนห้องพักมากที่สุดในโลกและมีชื่อตราสัญลักษณ์เป็นที่รู้จักทั่วโลก และยังให้การสนับสนุนธุรกิจโรงแรมของกลุ่มในเรื่องระบบเครือข่ายการจองห้องพัก การโฆษณาของทั้งเครือข่าย และการมีสำนักงานขายกระจายอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ ตราสัญลักษณ์ของกลุ่มเซ็นทรัลยังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ลูกค้าระดับบนภายในประเทศด้วย
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจอาหารบริการด่วนของไทยโดยมีรายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มสูงขึ้นด้วยอัตราเติบโต 20% ในปี 2547 และ 23% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 โดยมีรายได้หลักจาก "เคเอฟซี" (53%) และจาก "มิสเตอร์โดนัท" (23%) รายได้ของธุรกิจอาหารที่เพิ่มขึ้นมากเป็นผลมาจากการขยายสาขาทั่วประเทศและจากอัตราการเติบโตของยอดขายของแต่ละสาขาในตราสัญลักษณ์หลักๆ ในช่วงปี 2547 จนถึงช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหารประมาณ 60% ของรายได้ทั้งหมด แต่มีรายได้ในรูปกระแสเงินสดจากธุรกิจดังกล่าวประมาณ 40% ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย โดยส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจโรงแรม ในช่วงปี 2547 ถึงช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 บริษัทมีรายได้จากโรงแรมหลักๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 57.5% ในปี 2546 เป็น 65.5% ในปี 2547 และเป็น 67.5% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักที่มีอยู่เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1,400 บาทต่อคืนในปี 2546 เป็น 1,700 บาทในปี 2547 และเป็น 1,900 บาทในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548
เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 1,717 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 2,449 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (ปรับด้วยมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าที่ดินตลอดอายุสัญญาเช่า) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 49.61% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตจากแผนการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนเพิ่มในธุรกิจโรงแรม การกู้ยืมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่สูงในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะทำให้อัตราการกู้ยืมของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างสูงแม้ว่าเงินลงทุนบางส่วนจะมาจากการเพิ่มทุนและกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากเงินกู้ส่วนใหญ่อิงกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดของโรงแรมและธุรกิจอาหารหลักๆ เอาไว้ได้ นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดการณ์ว่าผู้บริหารของบริษัทจะยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังในการขยายธุรกิจโรงแรมและอาหารบริการด่วนในอนาคต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทโรงแรมเซ็นทรัล พลาซา ก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรม ต่อมาได้ขยายสู่ธุรกิจอาหารบริการด่วนในปี 2537 ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจโรงแรม 8 แห่งในประเทศไทย (รวม 1,759 ห้อง) ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทั่วประเทศ โดยรวมโรงแรมแห่งใหม่ คือ เซ็นทรัลกระบี่เบย์รีสอร์ท นอกจากนี้ บริษัทยังประกอบธุรกิจเกี่ยวกับอาหารบริการด่วนแบบเครือข่ายของต่างประเทศอีก 5 ตราสัญลักษณ์ คือ "เคเอฟซี" "มิสเตอร์โดนัท" "พิซซ่า ฮัท" "บาสกิ้นส์-ร้อบบิ้นส์" "อานตี้ แอนส์" และอาหารบริการด่วนภายใต้ตราสัญลักษณ์ของบริษัทเองคือ "เสต็ก ฮันเตอร์"
โรงแรม 2 แห่งของบริษัท คือ โซฟิเทลเซ็นทรัลพลาซาและโนโวเทลเซ็นทรัลสุคนธาเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ของกลุ่ม Accor ในขณะที่โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทรัลหัวหินรีสอร์ทมีกลุ่ม Accor เป็นผู้บริหาร ส่วนโรงแรมอื่นๆ ดำเนินการภายใต้ตราสัญลักษณ์ "เซ็นทรัล" ของบริษัทซึ่งบริหารโดยผู้บริหารของกลุ่มเซ็นทรัล ผู้บริหารของโรงแรมในกลุ่มส่วนใหญ่ล้วนมีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจโรงแรมกับเครือข่ายต่างประเทศที่มีชื่อเสียง Accor เป็นหนึ่งในเครือข่ายผู้บริหารโรงแรม10 อันดับแรกที่มีจำนวนห้องพักมากที่สุดในโลกและมีชื่อตราสัญลักษณ์เป็นที่รู้จักทั่วโลก และยังให้การสนับสนุนธุรกิจโรงแรมของกลุ่มในเรื่องระบบเครือข่ายการจองห้องพัก การโฆษณาของทั้งเครือข่าย และการมีสำนักงานขายกระจายอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ ตราสัญลักษณ์ของกลุ่มเซ็นทรัลยังเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่ลูกค้าระดับบนภายในประเทศด้วย
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจอาหารบริการด่วนของไทยโดยมีรายได้จากธุรกิจอาหารเพิ่มสูงขึ้นด้วยอัตราเติบโต 20% ในปี 2547 และ 23% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 โดยมีรายได้หลักจาก "เคเอฟซี" (53%) และจาก "มิสเตอร์โดนัท" (23%) รายได้ของธุรกิจอาหารที่เพิ่มขึ้นมากเป็นผลมาจากการขยายสาขาทั่วประเทศและจากอัตราการเติบโตของยอดขายของแต่ละสาขาในตราสัญลักษณ์หลักๆ ในช่วงปี 2547 จนถึงช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 บริษัทมีรายได้จากธุรกิจอาหารประมาณ 60% ของรายได้ทั้งหมด แต่มีรายได้ในรูปกระแสเงินสดจากธุรกิจดังกล่าวประมาณ 40% ของกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่าย โดยส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจโรงแรม ในช่วงปี 2547 ถึงช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 บริษัทมีรายได้จากโรงแรมหลักๆ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 57.5% ในปี 2546 เป็น 65.5% ในปี 2547 และเป็น 67.5% ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548 และมีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักที่มีอยู่เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1,400 บาทต่อคืนในปี 2546 เป็น 1,700 บาทในปี 2547 และเป็น 1,900 บาทในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2548
เงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 1,717 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 2,449 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน (ปรับด้วยมูลค่าปัจจุบันของค่าเช่าที่ดินตลอดอายุสัญญาเช่า) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 49.61% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 และคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นในอนาคตจากแผนการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนเพิ่มในธุรกิจโรงแรม การกู้ยืมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนที่สูงในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะทำให้อัตราการกู้ยืมของบริษัทอยู่ในระดับค่อนข้างสูงแม้ว่าเงินลงทุนบางส่วนจะมาจากการเพิ่มทุนและกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากเงินกู้ส่วนใหญ่อิงกับอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ทริสเรทติ้งกล่าว -- จบ