บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB" พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม ตลอดจนรายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยว รายได้ประจำจากธุรกิจการบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ และสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นจากการขายโรงแรมโซฟิเทล สีลม นอกจากนี้ การจัดอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงจากผลของความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่ลดลง และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าราคาวัสดุก่อสร้างและน้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของผู้ประกอบการ
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทจะชะลอตัวลงเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นในภาวะที่อุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัวลง การก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผน ในขณะเดียวกันก็คาดว่าบริษัทจะรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอสำหรับการชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ผลประกอบการของบริษัทแสนสิริในปี 2547 อยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่ารายได้จากการขายบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจาก 2,858 ล้านบาทในปี 2546 เป็น 5,691 ล้านบาทในปี 2547 แต่ยอดจองซื้อคอนโดมิเนียมในปี 2547 ลดลง 61% จากปี 2546 การขยายตัวอย่างก้าวกระโดดของโครงการพัฒนาบ้านเดี่ยวของบริษัทในระหว่างปี 2545-2547 ส่งผลให้บริษัทมียอดขายในปี 2547 เพิ่มสูงขึ้นพร้อมทั้งมีสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แม้บริษัทจะไม่มีการลงทุนเพิ่ม แต่บ้านที่มีอยู่ประมาณ 500 หลังก็น่าจะเพียงพอสำหรับการขายภายในอีก 2 ปี เงินที่ได้จากการขายโรงแรมโซฟิเทล สีลม จำนวน 1,099 ล้านบาทส่งผลให้สภาพคล่องและสัดส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยภาระเงินกู้ของบริษัทลดลงจาก 10,098 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2548 เป็น 9,272 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 -- จบ
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทจะชะลอตัวลงเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นในภาวะที่อุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัวลง การก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทคาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผน ในขณะเดียวกันก็คาดว่าบริษัทจะรักษาสภาพคล่องให้เพียงพอสำหรับการชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ผลประกอบการของบริษัทแสนสิริในปี 2547 อยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่ารายได้จากการขายบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นจาก 2,858 ล้านบาทในปี 2546 เป็น 5,691 ล้านบาทในปี 2547 แต่ยอดจองซื้อคอนโดมิเนียมในปี 2547 ลดลง 61% จากปี 2546 การขยายตัวอย่างก้าวกระโดดของโครงการพัฒนาบ้านเดี่ยวของบริษัทในระหว่างปี 2545-2547 ส่งผลให้บริษัทมียอดขายในปี 2547 เพิ่มสูงขึ้นพร้อมทั้งมีสินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แม้บริษัทจะไม่มีการลงทุนเพิ่ม แต่บ้านที่มีอยู่ประมาณ 500 หลังก็น่าจะเพียงพอสำหรับการขายภายในอีก 2 ปี เงินที่ได้จากการขายโรงแรมโซฟิเทล สีลม จำนวน 1,099 ล้านบาทส่งผลให้สภาพคล่องและสัดส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้น โดยภาระเงินกู้ของบริษัทลดลงจาก 10,098 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2548 เป็น 9,272 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 -- จบ