บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB+" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนผลงานที่เป็นที่ยอมรับของบริษัทในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนรายได้ที่สม่ำเสมอและแน่นอนจากการขายไฟฟ้าและสาธารณูปโภค รวมทั้งการสนับสนุนจากผู้ร่วมทุนชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความผันผวนของธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งการที่บริษัทขยายสู่ธุรกิจคอนโดมิเนียม และแผนการลงทุนจำนวนมากในช่วง 2 ปีข้างหน้าด้วย
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพที่แข็งแกร่งในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอาไว้ได้ และคาดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของรายได้จากการขายที่ดิน นอกจากนี้ โครงการคอนโดมิเนียมก็คาดว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จโดยที่ต้นทุนไม่บานปลาย แม้ว่าสัดส่วนโครงสร้างหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้าจากแผนการลงทุน แต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสัดส่วนเงินกู้ต่อโครงสร้างเงินทุนเอาไว้ให้ต่ำกว่า 60% ได้ในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทสวนอุตสาหกรรมโรจนะเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2531 โดยตระกูลวินิชบุตรและบริษัทย่อยของกลุ่มซูมิโตโม (Sumitomo Group) ปัจจุบันกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 2 รายแรกของบริษัทซึ่งถือหุ้นรวมกันเกือบ 50% คือ กลุ่มตระกูลวินิชบุตร และ Sumikin Bussan Corporation ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มซูมิโตโม ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและบริหารสวนอุตสาหกรรมโรจนะ 2 แห่งที่จังหวัดอยุธยาและระยอง และกำลังพัฒนาอีก 1 โครงการในมณฑลฉางโจว ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พื้นที่ขายในสวนอุตสาหกรรมโรจนะรวม 1,500 ไร่ถือว่ามากพอที่จะรองรับการพัฒนาในอนาคตเมื่อพิจารณาจากอัตราการขายที่ดินเฉลี่ยปีละ 280 ไร่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทยังถือหุ้น 41% ใน บริษัท โรจนะ พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งก่อตั้งในปี 2539 ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) โดยมีสัญญาขายไฟ 90 เมกะวัตต์ให้แก่ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) และส่วนที่เหลือขายให้แก่ลูกค้าในสวนอุตสาหกรรม ปัจจุบันโรงไฟฟ้าอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตอีก 43 เมกะวัตต์ ทำให้ภายในปลายปี 2549 จะมีกำลังการผลิตรวมเป็น 208 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีระบบบริหารจัดการน้ำของตนเองเพื่อจัดหาน้ำให้แก่ลูกค้าในสวนอุตสาหกรรมทั้ง 2 แห่งด้วย อีกทั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 บริษัทยังได้เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ชื่อ "เดอะ เมดิสัน" (The Madison) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยบริษัทสามารถขายห้องชุดได้ 91% จากจำนวนห้องชุดทั้งหมด 151 ห้อง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2548 ทั้งนี้ คาดว่าการก่อสร้างโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2550
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วงปี 2545-2547 ของบริษัทสวนอุตสาหกรรมโรจนะว่า บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรมคิดเป็น 20% ของรายได้รวม ในขณะที่รายได้หลัก 80% มาจากการขายไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและแน่นอนซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของรายได้จากการขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรม ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทมาจากผลงานที่เป็นที่ยอมรับในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนอนาคตที่สดใสของสวนอุตสาหกรรมของบริษัทที่จังหวัดอยุธยา และการจัดหาไฟฟ้าและสาธารณูปโภคที่พอเพียง สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 นั้น บริษัทสามารถขายที่ดินได้ 502 ไร่ เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 43% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้ามีมูลค่า 2,291 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิรวม 546 ล้านบาท -- จบ
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานภาพที่แข็งแกร่งในธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอาไว้ได้ และคาดว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าของบริษัทจะสามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของรายได้จากการขายที่ดิน นอกจากนี้ โครงการคอนโดมิเนียมก็คาดว่าจะสามารถก่อสร้างแล้วเสร็จโดยที่ต้นทุนไม่บานปลาย แม้ว่าสัดส่วนโครงสร้างหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้าจากแผนการลงทุน แต่ก็คาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาสัดส่วนเงินกู้ต่อโครงสร้างเงินทุนเอาไว้ให้ต่ำกว่า 60% ได้ในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทสวนอุตสาหกรรมโรจนะเป็นหนึ่งในผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทยซึ่งก่อตั้งในปี 2531 โดยตระกูลวินิชบุตรและบริษัทย่อยของกลุ่มซูมิโตโม (Sumitomo Group) ปัจจุบันกลุ่มผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 2 รายแรกของบริษัทซึ่งถือหุ้นรวมกันเกือบ 50% คือ กลุ่มตระกูลวินิชบุตร และ Sumikin Bussan Corporation ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มซูมิโตโม ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของและบริหารสวนอุตสาหกรรมโรจนะ 2 แห่งที่จังหวัดอยุธยาและระยอง และกำลังพัฒนาอีก 1 โครงการในมณฑลฉางโจว ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน พื้นที่ขายในสวนอุตสาหกรรมโรจนะรวม 1,500 ไร่ถือว่ามากพอที่จะรองรับการพัฒนาในอนาคตเมื่อพิจารณาจากอัตราการขายที่ดินเฉลี่ยปีละ 280 ไร่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทยังถือหุ้น 41% ใน บริษัท โรจนะ พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งก่อตั้งในปี 2539 ในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) โดยมีสัญญาขายไฟ 90 เมกะวัตต์ให้แก่ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) และส่วนที่เหลือขายให้แก่ลูกค้าในสวนอุตสาหกรรม ปัจจุบันโรงไฟฟ้าอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตอีก 43 เมกะวัตต์ ทำให้ภายในปลายปี 2549 จะมีกำลังการผลิตรวมเป็น 208 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีระบบบริหารจัดการน้ำของตนเองเพื่อจัดหาน้ำให้แก่ลูกค้าในสวนอุตสาหกรรมทั้ง 2 แห่งด้วย อีกทั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 บริษัทยังได้เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้ชื่อ "เดอะ เมดิสัน" (The Madison) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า โดยบริษัทสามารถขายห้องชุดได้ 91% จากจำนวนห้องชุดทั้งหมด 151 ห้อง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2548 ทั้งนี้ คาดว่าการก่อสร้างโครงการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2550
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วงปี 2545-2547 ของบริษัทสวนอุตสาหกรรมโรจนะว่า บริษัทมีรายได้จากการขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรมคิดเป็น 20% ของรายได้รวม ในขณะที่รายได้หลัก 80% มาจากการขายไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ส่งผลให้บริษัทมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและแน่นอนซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของรายได้จากการขายที่ดินในสวนอุตสาหกรรม ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทมาจากผลงานที่เป็นที่ยอมรับในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนอนาคตที่สดใสของสวนอุตสาหกรรมของบริษัทที่จังหวัดอยุธยา และการจัดหาไฟฟ้าและสาธารณูปโภคที่พอเพียง สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2548 นั้น บริษัทสามารถขายที่ดินได้ 502 ไร่ เป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นประมาณ 43% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้ามีมูลค่า 2,291 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิรวม 546 ล้านบาท -- จบ