บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยกเลิกอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) ตามความประสงค์ของบริษัทเนื่องจากบริษัทไม่มีแผนจะออกหุ้นกู้ในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งมีผลให้การติดตามทบทวนผลการดำเนินงานของบริษัทซิงเกอร์ประเทศไทย ยุติลง โดยผลอันดับเครดิตองค์กรระดับ “BBB/Positive” ของบริษัทที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้ไม่สามารถนำไปใช้อ้างอิงได้อีกต่อไป
ในขณะดียวกัน ทริสเรทติ้งได้ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB” จากเดิมที่ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากการเพิ่มทุนจำนวนมากในเดือนสิงหาคม 2549 โดยบริษัทนำเงินเกือบทั้งหมดจากการเพิ่มทุนไปชำระคืนหนี้เกือบครึ่งหนึ่งของหนี้คงค้างภายใต้สัญญาหลักในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (MRA) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังรวมถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ความเป็นผู้นำในการผลิตเม็ดพลาสติก Low Density Polyethylene (LDPE) และแนวโน้มในทางบวกสำหรับความต้องการปูนซีเมนต์และ LDPE ในระยะปานกลางด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ และวัฏจักรของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และปิโตรเคมีซึ่งทำให้ผลประกอบการของบริษัทค่อนข้างผันผวน
ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable“ หรือ “คงที่“ สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าโครงสร้างทางการเงินของบริษัททีพีไอ โพลีนจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังคงมีการแข่งขันสูง และยังสะท้อนความเชื่อมั่นของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถหาแหล่งเงินกู้ใหม่เพื่อมาทดแทนเงินกู้เก่าได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากมีสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบในทางลบต่อการดำเนินงานของบริษัท ในทางตรงกันข้าม หากผลการดำเนินงานของบริษัทดีกว่าที่คาดการณ์ไว้และคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลมีคำตัดสินซึ่งมีผลให้ภาระหนี้ของบริษัทลดลงก็อาจมีการพิจารณาปรับเพิ่มอันดับเครดิต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัททีพีไอ โพลีนได้รับเงินจากการเพิ่มทุนจำนวน 12,175.6 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม 2549 และนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้จำนวน 11,500 ล้านบาท ส่งผลให้ภาระหนี้คงค้างลดลงอย่างมากจาก 32,122 ล้านบาทในปี 2548 เหลือเพียง 16,840 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2549 ทั้งนี้ ภาระหนี้ของบริษัทที่มีกับสถาบันการเงินต่างๆ ประกอบด้วยภาระหนี้ภายใต้โครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลด 5,480 ล้านบาท และภาระหนี้ภายใต้สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 11,360 ล้านบาท ซึ่งภาระหนี้ตามโครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลดประกอบด้วยภาระหนี้เงินต้น 3,949 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่าย 1,424 ล้านบาท และดอกเบี้ยผิดนัดค้างจ่าย 107 ล้านบาท โดยบริษัทได้วางเงินไว้ที่ศาลล้มละลายกลางจำนวน 3,118 ล้านบาทเพื่อใช้ชำระหนี้ในราคาที่ตกลงไว้ หากหักภาระหนี้ตามโครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลดออก ภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงเหลือ 11,360 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยภาระหนี้เงินต้น 10,787 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่าย 5 ล้านบาท และดอกเบี้ยผิดนัดค้างจ่าย 568 ล้านบาท บริษัทมีข้อโต้แย้งกับเจ้าหนี้เกี่ยวกับการซื้อหนี้คืนตามโครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลดตั้งแต่ปี 2547 โดยศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้ตามการซื้อหนี้คืนในปี 2548 โดยเจ้าหนี้ได้ยื่นอุทธรณ์และขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งหากบริษัทชนะคดี บริษัทก็จะมีกำไรจากการซื้อหนี้คืนประมาณ 2,362 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรจากการลดลงของภาระหนี้เงินต้น 831 ล้านบาท และกำไรจากการได้รับยกเว้นดอกเบี้ยค้างจ่ายและดอกเบี้ยผิดนัดค้างจ่าย 1,531 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัททีพีไอ โพลีนเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และลงนามในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในเดือนกรกฎาคม 2543 ภายใต้สัญญาดังกล่าว บริษัทจะต้องชำระหนี้ภายในปี 2547 โดยสามารถขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นได้ 3 ครั้งๆ ละ 1 ปี ที่ผ่านมาบริษัทได้ขอขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้นไปแล้ว 2 ครั้งซึ่งมีกำหนดชำระในเดือนธันวาคม 2549 นี้ ขณะนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการจัดหาเงินกู้ใหม่เพื่อนำมาชำระหนี้ที่มีอยู่และกำลังพิจารณาแนวทางในการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งหากบริษัทไม่สามารถจัดหาเงินกู้ใหม่ได้ก่อนกำหนดการชำระหนี้ บริษัทจะใช้สิทธิในการขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้เป็นครั้งสุดท้ายออกไปเป็นสิ้นเดือนธันวาคม 2550 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถสรุปผลการจัดหาเงินกู้ใหม่เพื่อทดแทนหนี้เงินกู้เก่าและออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายในครึ่งแรกของปี 2550 ทั้งนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแหล่งเงินกู้ใหม่จะทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นเนื่องจากน่าจะมีการกำหนดให้ตารางการชำระหนี้สอดคล้องกับกระแสเงินสดภายในของบริษัทในส่วนของผลการดำเนินงานนั้น ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าแรงกดดันจากความต้องการปูนซีเมนต์ ที่ลดลงและการแข่งขันที่สูงจะยังคงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการปูนซีเมนต์ในระยะใกล้จะเพิ่มขึ้นจากการที่ต้องใช้ปูนซีเมนต์ในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคอันเนื่องมาจากภัยน้ำท่วมในเขตภาคเหนือและภาคกลางของประเทศ นโยบายการปรับลดราคาปูนซีเมนต์เพื่อที่จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้เปลี่ยนมาเป็นการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มผลกำไร อย่างไรก็ตาม ราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยกับราคาต้นทุนพลังงานและเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับธุรกิจพลาสติกนั้น ผลการดำเนินงานปรับตัวลดลงจากการที่ส่วนต่างระหว่าง LDPE กับ Ethylene และ Ethyl Vinyl Acetate (EVA) กับ Ethylene ปรับตัวแคบลง ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ลดลงมาอยู่ที่ 16.09% เปรียบเทียบกับ 17.78% ในปี 2548 อย่างไรก็ตาม เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกซึ่งอยู่ที่ 2,262 ล้านบาทไม่เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากการปรับตัวลดลงของดอกเบี้ยจ่ายซึ่งเป็นผลจากภาระหนี้ที่ลดลงและกำไรที่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 630 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะปรับตัวลดลงอีกจากการที่บริษัทได้ชำระคืนหนี้กว่า 11,500 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม 2549 นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจาก 46.04% ในปี 2548 มาอยู่ที่ 22.46% ณ เดือนกันยายน 2549
ทริสเรทติ้งยังกล่าวว่า โครงสร้างเงินทุนของบริษัททีพีไอ โพลีนคาดว่าไม่น่าจะปรับตัวดีขึ้นมากนักในอนาคต การสร้างกระแสเงินสดของบริษัทจะถูกจำกัดโดยแรงกดดันจากการหารายได้ ตลอดจนแผนการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ (ในโรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 และโครงการประหยัดพลังงาน) การจ่ายเงินปันผล และการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลซึ่งจะเริ่มในปีงบประมาณ 2549 หลังจากที่บริษัทได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการขาดทุนยกมาหมดแล้ว -- จบ
--------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามไม่มิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของ
ตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
ในขณะดียวกัน ทริสเรทติ้งได้ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB” จากเดิมที่ “BBB-” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากการเพิ่มทุนจำนวนมากในเดือนสิงหาคม 2549 โดยบริษัทนำเงินเกือบทั้งหมดจากการเพิ่มทุนไปชำระคืนหนี้เกือบครึ่งหนึ่งของหนี้คงค้างภายใต้สัญญาหลักในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (MRA) นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังรวมถึงสถานะของบริษัทในการเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ ความเป็นผู้นำในการผลิตเม็ดพลาสติก Low Density Polyethylene (LDPE) และแนวโน้มในทางบวกสำหรับความต้องการปูนซีเมนต์และ LDPE ในระยะปานกลางด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงในตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ และวัฏจักรของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และปิโตรเคมีซึ่งทำให้ผลประกอบการของบริษัทค่อนข้างผันผวน
ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable“ หรือ “คงที่“ สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าโครงสร้างทางการเงินของบริษัททีพีไอ โพลีนจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยังคงมีการแข่งขันสูง และยังสะท้อนความเชื่อมั่นของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถหาแหล่งเงินกู้ใหม่เพื่อมาทดแทนเงินกู้เก่าได้ภายในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงหากมีสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบในทางลบต่อการดำเนินงานของบริษัท ในทางตรงกันข้าม หากผลการดำเนินงานของบริษัทดีกว่าที่คาดการณ์ไว้และคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลมีคำตัดสินซึ่งมีผลให้ภาระหนี้ของบริษัทลดลงก็อาจมีการพิจารณาปรับเพิ่มอันดับเครดิต
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัททีพีไอ โพลีนได้รับเงินจากการเพิ่มทุนจำนวน 12,175.6 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม 2549 และนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้จำนวน 11,500 ล้านบาท ส่งผลให้ภาระหนี้คงค้างลดลงอย่างมากจาก 32,122 ล้านบาทในปี 2548 เหลือเพียง 16,840 ล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2549 ทั้งนี้ ภาระหนี้ของบริษัทที่มีกับสถาบันการเงินต่างๆ ประกอบด้วยภาระหนี้ภายใต้โครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลด 5,480 ล้านบาท และภาระหนี้ภายใต้สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 11,360 ล้านบาท ซึ่งภาระหนี้ตามโครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลดประกอบด้วยภาระหนี้เงินต้น 3,949 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่าย 1,424 ล้านบาท และดอกเบี้ยผิดนัดค้างจ่าย 107 ล้านบาท โดยบริษัทได้วางเงินไว้ที่ศาลล้มละลายกลางจำนวน 3,118 ล้านบาทเพื่อใช้ชำระหนี้ในราคาที่ตกลงไว้ หากหักภาระหนี้ตามโครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลดออก ภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงเหลือ 11,360 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยภาระหนี้เงินต้น 10,787 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่าย 5 ล้านบาท และดอกเบี้ยผิดนัดค้างจ่าย 568 ล้านบาท บริษัทมีข้อโต้แย้งกับเจ้าหนี้เกี่ยวกับการซื้อหนี้คืนตามโครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลดตั้งแต่ปี 2547 โดยศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้ตามการซื้อหนี้คืนในปี 2548 โดยเจ้าหนี้ได้ยื่นอุทธรณ์และขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งหากบริษัทชนะคดี บริษัทก็จะมีกำไรจากการซื้อหนี้คืนประมาณ 2,362 ล้านบาท ประกอบด้วยกำไรจากการลดลงของภาระหนี้เงินต้น 831 ล้านบาท และกำไรจากการได้รับยกเว้นดอกเบี้ยค้างจ่ายและดอกเบี้ยผิดนัดค้างจ่าย 1,531 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัททีพีไอ โพลีนเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และลงนามในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในเดือนกรกฎาคม 2543 ภายใต้สัญญาดังกล่าว บริษัทจะต้องชำระหนี้ภายในปี 2547 โดยสามารถขยายระยะเวลาการชำระคืนเงินต้นได้ 3 ครั้งๆ ละ 1 ปี ที่ผ่านมาบริษัทได้ขอขยายระยะเวลาชำระคืนเงินต้นไปแล้ว 2 ครั้งซึ่งมีกำหนดชำระในเดือนธันวาคม 2549 นี้ ขณะนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการจัดหาเงินกู้ใหม่เพื่อนำมาชำระหนี้ที่มีอยู่และกำลังพิจารณาแนวทางในการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งหากบริษัทไม่สามารถจัดหาเงินกู้ใหม่ได้ก่อนกำหนดการชำระหนี้ บริษัทจะใช้สิทธิในการขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้เป็นครั้งสุดท้ายออกไปเป็นสิ้นเดือนธันวาคม 2550 ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถสรุปผลการจัดหาเงินกู้ใหม่เพื่อทดแทนหนี้เงินกู้เก่าและออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ภายในครึ่งแรกของปี 2550 ทั้งนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแหล่งเงินกู้ใหม่จะทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นเนื่องจากน่าจะมีการกำหนดให้ตารางการชำระหนี้สอดคล้องกับกระแสเงินสดภายในของบริษัทในส่วนของผลการดำเนินงานนั้น ทริสเรทติ้งมีความเห็นว่าแรงกดดันจากความต้องการปูนซีเมนต์ ที่ลดลงและการแข่งขันที่สูงจะยังคงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าความต้องการปูนซีเมนต์ในระยะใกล้จะเพิ่มขึ้นจากการที่ต้องใช้ปูนซีเมนต์ในการซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและสาธารณูปโภคอันเนื่องมาจากภัยน้ำท่วมในเขตภาคเหนือและภาคกลางของประเทศ นโยบายการปรับลดราคาปูนซีเมนต์เพื่อที่จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้เปลี่ยนมาเป็นการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มผลกำไร อย่างไรก็ตาม ราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยกับราคาต้นทุนพลังงานและเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับธุรกิจพลาสติกนั้น ผลการดำเนินงานปรับตัวลดลงจากการที่ส่วนต่างระหว่าง LDPE กับ Ethylene และ Ethyl Vinyl Acetate (EVA) กับ Ethylene ปรับตัวแคบลง ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 ลดลงมาอยู่ที่ 16.09% เปรียบเทียบกับ 17.78% ในปี 2548 อย่างไรก็ตาม เงินทุนจากการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกซึ่งอยู่ที่ 2,262 ล้านบาทไม่เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากการปรับตัวลดลงของดอกเบี้ยจ่ายซึ่งเป็นผลจากภาระหนี้ที่ลดลงและกำไรที่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 630 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะปรับตัวลดลงอีกจากการที่บริษัทได้ชำระคืนหนี้กว่า 11,500 ล้านบาทในเดือนสิงหาคม 2549 นอกจากนี้ อัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างมากจาก 46.04% ในปี 2548 มาอยู่ที่ 22.46% ณ เดือนกันยายน 2549
ทริสเรทติ้งยังกล่าวว่า โครงสร้างเงินทุนของบริษัททีพีไอ โพลีนคาดว่าไม่น่าจะปรับตัวดีขึ้นมากนักในอนาคต การสร้างกระแสเงินสดของบริษัทจะถูกจำกัดโดยแรงกดดันจากการหารายได้ ตลอดจนแผนการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ (ในโรงงานปูนซีเมนต์แห่งที่ 4 และโครงการประหยัดพลังงาน) การจ่ายเงินปันผล และการจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลซึ่งจะเริ่มในปีงบประมาณ 2549 หลังจากที่บริษัทได้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการขาดทุนยกมาหมดแล้ว -- จบ
--------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามไม่มิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของ
ตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว