แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะดำรงฐานะทางการเงินให้เพียงพอที่จะรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงแรมในประเทศ โดยอันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทจะได้รับผลกระทบในทางลบหากฐานะทางการเงินของบริษัทไม่เป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้หรือหากบริษัทยังคงขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งยังคาดหวังว่าบริษัทจะลดระดับเงินกู้ให้ต่ำกว่าระดับในปัจจุบันซึ่งวัดจากอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ 60% ด้วย
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาก่อตั้งโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ในปี 2523 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ปัจจุบันบริษัทบริหารโรงแรมระดับสี่ดาวและห้าดาวจำนวน 13 แห่ง (กว่า 2,800 ห้อง) ใน 8 จังหวัด โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 รายได้จากโรงแรมส่วนใหญ่มาจากโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ โรงแรมโซฟิเทลเซ็นทาราแกรนด์รีสอร์ทแอนด์วิลล่าหัวหิน โรงแรม เซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ทสมุย โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บีช รีสอร์ท กระบี่ และโรงแรมเซ็นทารา @ เซ็นทรัลเวิลด์ บริษัทบริหารงานโรงแรม ของตนเองภายใต้ชื่อสัญลักษณ์ “เซ็นทารา” ยกเว้นโรงแรมโซฟิเทลเซ็นทาราแกรนด์รีสอร์ทแอนด์วิลล่าหัวหินเท่านั้นที่บริหารโดย Accor International นอกจากนี้ บริษัทยังบริหารงานโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์ กรุงเทพฯ และโรงแรมโนโวเทล เซ็นทารา หาดใหญ่ภายใต้แฟรนไชส์ของกลุ่ม Accor ด้วย บริษัทยังดำเนินธุรกิจอาหารบริการด่วนภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด (CRG) ซึ่งให้บริการอาหารบริการด่วนแบบแฟรนไชส์ของต่างประเทศจำนวน 6 ตราสัญลักษณ์ คือ “เคเอฟซี” “มิสเตอร์โดนัท” “พิซซ่า ฮัท” “บาสกิ้นส์-ร้อบบิ้นส์” “อานตี้ แอนส์” และ “เป็ปเปอร์ลันช์” โดยมีจำนวนสาขารวมทั้งหมดเกือบ 490 แห่งทั่วประเทศ
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซามีรายได้จากธุรกิจอาหารบริการด่วนเป็นหลักซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 60% ของยอดขายรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรม ในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 รายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 4,082 ล้านบาท จาก 3,515 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันของปี 2550 เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจโรงแรม ในขณะเดียวกัน รายได้จากธุรกิจอาหารบริการด่วนก็เพิ่มขึ้น 11% เป็น 2,345 ล้านบาทจาก 2,113 ล้านบาทเนื่องจากการเปิดสาขาเพิ่ม ทั้งนี้ รายได้จากโรงแรมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากถึง 24% จากการเปิดให้บริการของโรงแรม เซ็นทารา @ เซ็นทรัลเวิลด์เมื่อต้นปี 2551 โดยอัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ (Revenue Per Available Room -- RevPAR) โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14% ในช่วงดังกล่าว
อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทโรงแรมเซ็นทรัลพลาซาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 44% ในปลายปี 2548 เป็น 60% ณ เดือนมิถุนายน 2551 จากการที่เงินกู้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 6,552 ล้านบาทจาก 2,364 ล้านบาท บริษัทยังคงขยายธุรกิจโดยมีค่าใช้จ่ายถึง 1,400 ล้านบาทเพื่อใช้พัฒนาโครงการหลักในกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ตในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2551 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมคงที่อยู่ที่ประมาณ 18%-20% ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจ่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอ่อนตัวลงเป็น 6.4 เท่า จากเดิมที่ 8-10 เท่าในช่วงปี 2549-2550 ในเดือนตุลาคม 2551 บริษัทได้ขายโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีช รีสอร์ท สมุยให้แก่กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา (กองทุนฯ หรือ CTARAF) ซึ่งก่อให้เกิดกระแสเงินสดสุทธิจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวน 1,400 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำเงินดังกล่าวไปใช้เป็นทุนสำหรับค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนและนำบางส่วนไปใช้ชำระหนี้เงินกู้ยืมระยะสั้น
มีการคาดการณ์ว่าวิกฤตการเงินของโลกในปัจจุบันจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกในอนาคตโดยเฉพาะในปีหน้าซบเซาลง ซึ่งจะส่งผลกระทบในทางลบต่อประเทศที่พึ่งพาธุรกิจการท่องเที่ยวเป็นหลัก รวมทั้งจะสร้างความท้าทายต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของโลกในที่สุด ผู้ประกอบการโรงแรมทั้งหลายจะหันมาเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศและจากประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกน้อยกว่าเพื่อทดแทนอุปสงค์ที่อ่อนตัวลงจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2551 เติบโตเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงยังไม่เห็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกภายในปี 2551 นี้ แต่น่าจะเห็นผลภายในปี 2552 ผู้ประกอบการโรงแรมที่จะสามารถผ่านวิกฤติดังกล่าวไปได้จึงต้องรักษาฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่งเพื่อรองรับวงจรธุรกิจในช่วงขาลงให้ได้ ทริสเรทติ้ง กล่าว -- จบ
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A- อันดับเครดิตตราสารหนี้: CENTEL092A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2552 คงเดิมที่ A- CENTEL096A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2552 คงเดิมที่ A- CENTEL096B: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,300 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2552 คงเดิมที่ A- แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2551 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว