บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท สยามพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) รวมทั้งอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันและตั๋วแลกเงินในปัจจุบันของบริษัทในระดับเดิมที่ “A-” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในตลาดเช่าซื้อรถยนต์ ความสามารถในการขยายสินเชื่อได้อย่างต่อเนื่องผ่านสาขาที่กระจายอยู่ตามต่างจังหวัด การจัดการสินทรัพย์และหนี้สินที่ระมัดระวัง ตลอดจนประสบการณ์ของคณะผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงและจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสัดส่วนของลูกค้าสินเชื่อเช่าซื้อสำหรับรถเก่า และการเพิ่มขึ้นของผลขาดทุนจากการขายรถยึดซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงจะส่งผลกระทบด้านลบต่อความต้องการเช่าซื้อรถยนต์
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มากประสบการณ์และระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและรักษาระดับการขยายตัวของสินเชื่อต่อไปได้ตามความคาดหมายของทริสเรทติ้ง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรและคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงจากผลกระทบด้านลบต่างๆ หากการเสนอซื้อหุ้นโดยธนาคารไทยพาณิชย์สำเร็จตามแผนการที่วางไว้ ทริสเรทติ้งจะดำเนินการทบทวนสถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทหลังจากที่ได้เห็นถึงประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจากธนาคารไทยพาณิชย์ต่อไป
ทริสเรทติ้งรายงานว่าบริษัทสยามพาณชิย์ลีสซิ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในประเทศไทย สินเชื่อ
รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 14.4% ในปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มจาก 37,341 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2547 เป็น 42,710 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2548 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของบริษัทสำหรับปี 2548 อยู่ที่ 2,048 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 4.2% จาก 1,966 ล้านบาทในปี 2547 ในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเพียง 3.1% เนื่องจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 19.1% ซึ่งมีส่วนลดทอนประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 17.8% ในปี 2546 เป็น 20.7% ในปี 2547 และ 21.8% ในปี 2548 เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากการขาดทุนจากการจำหน่ายรถยึด
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าภาวะอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นได้ส่งผลให้ต้นทุนการจัดหาเงินทุนของบริษัทสยามพาณชิย์ลีสซิ่งเพิ่มสูงขึ้นตามในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกับต้นทุนการจัดหาเงินทุน ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายแคบลงเนื่องจากบริษัทไม่สามารถผลักภาระต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นไปยังลูกค้าได้ทั้งหมดเพราะภาวะการแข่งขันในตลาดเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้น เพื่อลดความกดดันจากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย บริษัทจึงหันไปเน้นการให้สินเชื่อรถยนต์เก่าเพิ่มขึ้นซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม สินเชื่อรถยนต์เก่าที่เพิ่มสูงขึ้นอาจส่งผลต่อคุณภาพสินทรัพย์โดยรวม ตลอดจนเงินสำรองสำหรับหนี้สงสัยจะสูญ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อไป
ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำข้อเสนอซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจำนวน 135,204,161 หุ้นแบบสมัครใจ ที่ราคา 38 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วน 37.11% การเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยธนาคารไทยพาณิชย์ในครั้งนี้จะมีผลต่อเมื่อธนาคารสามารถถือหุ้นของบริษัทได้อีกอย่างน้อย 37.89% เพื่อให้ได้สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทไม่น้อยกว่า 75% ทริสเรทติ้งคาดว่าการเปลี่ยนไปเป็นหน่วยงานสำคัญเชิงกลยุทธ์ภายใต้เครือข่ายของธนาคารไทยพาณิชย์น่าจะช่วยให้สถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทสยามพาณิชย์ลีสซิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเนื่องจากบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสาขาทั่วประเทศของธนาคาร รวมถึงแหล่งเงินทุน -- จบ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มากประสบการณ์และระบบการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพซึ่งส่งผลให้บริษัทสามารถดำรงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและรักษาระดับการขยายตัวของสินเชื่อต่อไปได้ตามความคาดหมายของทริสเรทติ้ง นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะยังคงรักษาความสามารถในการทำกำไรและคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้แม้สถานการณ์เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงจากผลกระทบด้านลบต่างๆ หากการเสนอซื้อหุ้นโดยธนาคารไทยพาณิชย์สำเร็จตามแผนการที่วางไว้ ทริสเรทติ้งจะดำเนินการทบทวนสถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทหลังจากที่ได้เห็นถึงประโยชน์ที่บริษัทได้รับจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจากธนาคารไทยพาณิชย์ต่อไป
ทริสเรทติ้งรายงานว่าบริษัทสยามพาณชิย์ลีสซิ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในประเทศไทย สินเชื่อ
รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 14.4% ในปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มจาก 37,341 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2547 เป็น 42,710 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2548 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของบริษัทสำหรับปี 2548 อยู่ที่ 2,048 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 4.2% จาก 1,966 ล้านบาทในปี 2547 ในขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเพียง 3.1% เนื่องจากค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 19.1% ซึ่งมีส่วนลดทอนประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 17.8% ในปี 2546 เป็น 20.7% ในปี 2547 และ 21.8% ในปี 2548 เนื่องจากบริษัทได้รับผลกระทบจากการขาดทุนจากการจำหน่ายรถยึด
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าภาวะอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นได้ส่งผลให้ต้นทุนการจัดหาเงินทุนของบริษัทสยามพาณชิย์ลีสซิ่งเพิ่มสูงขึ้นตามในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากลูกค้าไม่ได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกับต้นทุนการจัดหาเงินทุน ส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายแคบลงเนื่องจากบริษัทไม่สามารถผลักภาระต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นไปยังลูกค้าได้ทั้งหมดเพราะภาวะการแข่งขันในตลาดเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ยังคงอยู่ในระดับสูง ดังนั้น เพื่อลดความกดดันจากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย บริษัทจึงหันไปเน้นการให้สินเชื่อรถยนต์เก่าเพิ่มขึ้นซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม สินเชื่อรถยนต์เก่าที่เพิ่มสูงขึ้นอาจส่งผลต่อคุณภาพสินทรัพย์โดยรวม ตลอดจนเงินสำรองสำหรับหนี้สงสัยจะสูญ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทต่อไป
ปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการจัดทำข้อเสนอซื้อหุ้นสามัญของบริษัทจำนวน 135,204,161 หุ้นแบบสมัครใจ ที่ราคา 38 บาทต่อหุ้น ปัจจุบันกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ถือหุ้นของบริษัทในสัดส่วน 37.11% การเสนอซื้อหลักทรัพย์โดยธนาคารไทยพาณิชย์ในครั้งนี้จะมีผลต่อเมื่อธนาคารสามารถถือหุ้นของบริษัทได้อีกอย่างน้อย 37.89% เพื่อให้ได้สัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทไม่น้อยกว่า 75% ทริสเรทติ้งคาดว่าการเปลี่ยนไปเป็นหน่วยงานสำคัญเชิงกลยุทธ์ภายใต้เครือข่ายของธนาคารไทยพาณิชย์น่าจะช่วยให้สถานะทางธุรกิจและการเงินของบริษัทสยามพาณิชย์ลีสซิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเนื่องจากบริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายสาขาทั่วประเทศของธนาคาร รวมถึงแหล่งเงินทุน -- จบ