บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) ที่ระดับ “BBB-” ในขณะเดียวกัน ได้ปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จากเดิม “Positive” หรือ “บวก” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศที่เพิ่มขึ้นในระยะปานกลางถึงระยะยาว ตลอดจนสถานะการเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่อันดับ 3 ของประเทศ และความเป็นผู้นำในการผลิตเม็ดพลาสติก Low Density Polyethylene (LDPE) อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนโดยวัฏจักรของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และปิโตรเคมีซึ่งทำให้ผลประกอบการของบริษัทค่อนข้างผันผวน การแข่งขันด้านราคาสำหรับตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศ รวมทั้งภาระหนี้ที่ส่วนใหญ่มีอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวและจำนวนยังค่อนข้างสูง
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทไม่น่าจะปรับตัวดีขึ้นมากนักในอนาคตอันใกล้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความล่าช้าของโครงการภาครัฐหลายโครงการ นอกจากนี้ การแข่งขันด้านราคาเนื่องจากมีอุปทานส่วนเกิน ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้นน่าจะส่งผลให้กำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม หากผลประกอบการของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทไม่สามารถกู้เงินมาชำระหนี้ได้ภายในกลางปี 2550 ก็จะส่งผลกระทบด้านลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทเนื่องจากความเสี่ยงด้านการเงินจะมีมากขึ้น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ในปี 2548 ยอดอุปสงค์รวมของปูนซีเมนต์ภายในประเทศเติบโตประมาณ 7% จาก 27.1 ล้านตันเป็น 28.9 ล้านตัน แต่ยอดขายปูนซีเมนต์ของบริษัททีพีไอ โพลีน ลดลงเล็กน้อยจาก 11,682 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 10,802 ล้านบาทในปี 2548 ในขณะที่ยอดส่งออกของบริษัทมีอัตราการเติบโตสอดคล้องกับอุตสาหกรรมโดยรวมที่ประมาณ 34% แต่รายได้และปริมาณของการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 10%-11% ของยอดขายปูนซีเมนต์รวมของบริษัท อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจปูนซีเมนต์ก็ลดลงอย่างมากจาก 47% ในปี 2547 มาอยู่ที่ 35% ในปี 2548 อัตรากำไรที่ลดลงนั้นเนื่องมาจากการตัดราคาในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะราคาถ่านหิน อัตราการใช้กำลังการผลิตของปูนซีเมนต์ในปี 2548 อยู่ที่ 92% เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่สามารถขยายกำลังการผลิตได้เนื่องจากสถานะการเงินของบริษัทยังไม่เข้มแข็ง ประกอบกับบริษัทยังมีข้อพิพาทกับผู้จัดหาเครื่องจักรที่ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาในชั้นศาลด้วย ผลประกอบการของธุรกิจพลาสติกของบริษัทในปี 2548 ค่อนข้างดีเนื่องจากปริมาณการผลิต LDPE ในประเทศยังค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ส่วนต่างระหว่าง LDPE กับ Ethylene และ Ethyl Vinyl Acetate (EVA) กับ Ethylene ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มที่แล้วสำหรับธุรกิจ LDPE และบริษัทยังไม่มีแผนจะขยายกำลังการผลิตในอนาคตอันใกล้
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า หนี้สินของบริษัททีพีไอ โพลีน ลดลงจาก 30,671 ล้านบาทในปี 2547 มาอยู่ที่ 28,992 ล้านบาทในปี 2548 และ 27,624 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2548 ซึ่งยังคงเป็นระดับที่สูงอยู่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยในช่วงปี 2548-2550 บริษัทมีภาระดอกเบี้ยเงินกู้สกุลเงินบาทที่ MLR +1.5% และอัตราดอกเบี้ยสกุลเงินต่างประเทศที่ LIBOR +3% ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงทำให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทลดลงจาก 3.42 เท่าในปี 2547 มาอยู่ที่ 1.93 เท่าในปี 2548 นอกจากนี้ บริษัทยังมีภาระที่จะต้องกู้เงินมาชำระคืนหนี้เก่าซึ่งจะครบกำหนดชำระในปี 2550 อีกจำนวน 16,000 ล้านบาท -- จบ
--------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทไม่น่าจะปรับตัวดีขึ้นมากนักในอนาคตอันใกล้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและความล่าช้าของโครงการภาครัฐหลายโครงการ นอกจากนี้ การแข่งขันด้านราคาเนื่องจากมีอุปทานส่วนเกิน ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบที่มีราคาสูงขึ้นน่าจะส่งผลให้กำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ อย่างไรก็ตาม หากผลประกอบการของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือบริษัทไม่สามารถกู้เงินมาชำระหนี้ได้ภายในกลางปี 2550 ก็จะส่งผลกระทบด้านลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทเนื่องจากความเสี่ยงด้านการเงินจะมีมากขึ้น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ในปี 2548 ยอดอุปสงค์รวมของปูนซีเมนต์ภายในประเทศเติบโตประมาณ 7% จาก 27.1 ล้านตันเป็น 28.9 ล้านตัน แต่ยอดขายปูนซีเมนต์ของบริษัททีพีไอ โพลีน ลดลงเล็กน้อยจาก 11,682 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 10,802 ล้านบาทในปี 2548 ในขณะที่ยอดส่งออกของบริษัทมีอัตราการเติบโตสอดคล้องกับอุตสาหกรรมโดยรวมที่ประมาณ 34% แต่รายได้และปริมาณของการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 10%-11% ของยอดขายปูนซีเมนต์รวมของบริษัท อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจปูนซีเมนต์ก็ลดลงอย่างมากจาก 47% ในปี 2547 มาอยู่ที่ 35% ในปี 2548 อัตรากำไรที่ลดลงนั้นเนื่องมาจากการตัดราคาในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะราคาถ่านหิน อัตราการใช้กำลังการผลิตของปูนซีเมนต์ในปี 2548 อยู่ที่ 92% เพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่สามารถขยายกำลังการผลิตได้เนื่องจากสถานะการเงินของบริษัทยังไม่เข้มแข็ง ประกอบกับบริษัทยังมีข้อพิพาทกับผู้จัดหาเครื่องจักรที่ยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาในชั้นศาลด้วย ผลประกอบการของธุรกิจพลาสติกของบริษัทในปี 2548 ค่อนข้างดีเนื่องจากปริมาณการผลิต LDPE ในประเทศยังค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ส่วนต่างระหว่าง LDPE กับ Ethylene และ Ethyl Vinyl Acetate (EVA) กับ Ethylene ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทใช้กำลังการผลิตเกือบเต็มที่แล้วสำหรับธุรกิจ LDPE และบริษัทยังไม่มีแผนจะขยายกำลังการผลิตในอนาคตอันใกล้
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า หนี้สินของบริษัททีพีไอ โพลีน ลดลงจาก 30,671 ล้านบาทในปี 2547 มาอยู่ที่ 28,992 ล้านบาทในปี 2548 และ 27,624 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2548 ซึ่งยังคงเป็นระดับที่สูงอยู่ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทมีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว โดยในช่วงปี 2548-2550 บริษัทมีภาระดอกเบี้ยเงินกู้สกุลเงินบาทที่ MLR +1.5% และอัตราดอกเบี้ยสกุลเงินต่างประเทศที่ LIBOR +3% ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ลดลงทำให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทลดลงจาก 3.42 เท่าในปี 2547 มาอยู่ที่ 1.93 เท่าในปี 2548 นอกจากนี้ บริษัทยังมีภาระที่จะต้องกู้เงินมาชำระคืนหนี้เก่าซึ่งจะครบกำหนดชำระในปี 2550 อีกจำนวน 16,000 ล้านบาท -- จบ
--------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว