บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” พร้อมปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จากเดิม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงประสบการณ์
ของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงต่ำ รวมถึงตราสัญลักษณ์ “บ้านฟ้า”
ที่เป็นที่รู้จัก อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากฐานะทางการเงินที่อ่อนแอลงของบริษัท ตลอดจน
อุปสงค์ในที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงซึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงและจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนค่าก่อสร้าง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงฐานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงเมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพอันดับเครดิต อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับเปลี่ยนเป็น “Stable” หรือ “คงที่” หากบริษัทสามารถปรับปรุงผลประกอบการให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้และรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเอาไว้ได้ในระดับไม่เกิน 1 เท่าในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง เป็นผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขนาดกลางซึ่งมีกลุ่มเป้าหมาย
เป็นลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ ตราสัญลักษณ์ “บ้านฟ้า” ของบริษัทเป็นที่ยอมรับในตลาดบ้านจัดสรรในบริเวณกรุงเทพฯ
ตอนเหนือ ณ เดือนพฤศจิกายน 2548 ตระกูลตันฑเทอดธรรมและเครือญาติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโดยมีสัดส่วนรวมกันทั้งสิ้น 79% ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 13 โครงการ โดยมีราคาขายบ้านต่อหลังโดยเฉลี่ย 2-3 ล้านบาท
ผลประกอบการในปี 2548 ที่ผ่านมาของบริษัทค่อนข้างต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทมียอดขายรวม 1,524 ล้านบาท
ซึ่งลดลงอย่างมากจากยอดขาย 2,521 ล้านบาทในปี 2547 ยอดขายส่วนใหญ่มาจากโครงการในเขตกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ถึงแม้ว่าบริษัทได้เริ่มขยายโครงการไปยังเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้และฝั่งตะวันตกตั้งแต่ปี 2545 ทว่าโครงการดังกล่าวมียอดขายต่ำกว่าที่คาดเนื่องจากเป็นทำเลที่บริษัทไม่คุ้นเคย อีกทั้งยังมีผลมาจากอุปสงค์ที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงและการแข่งขันที่รุนแรงในพื้นที่ดังกล่าว
อัตราการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง โดยบริษัทมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 34% สำหรับ
ปี 2548 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 32% ในปี 2547
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าการแข่งขันในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่น้อยลงในขณะที่อุปสงค์ยังคงทรงตัวต่อไป ราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลทำให้กำไรของผู้ประกอบการลดลง ในขณะเดียวกัน นโยบายการปล่อยกู้ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นของธนาคารพาณิชย์จะเป็นปัจจัยจำกัดการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลให้อุปสงค์ในที่อยู่อาศัยชะลอตัวลง นอกจากนี้ สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมเนื่องจากผู้ซื้อบ้านอาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ออกไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะบรรเทาลงในระยะสั้นและน่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพียงชั่วคราว หลังจากนั้น อุปสงค์ในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในตลาดสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำก็คาดว่าจะคืนสู่ภาวะปกติ -- จบ
ของบริษัทในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงต่ำ รวมถึงตราสัญลักษณ์ “บ้านฟ้า”
ที่เป็นที่รู้จัก อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากฐานะทางการเงินที่อ่อนแอลงของบริษัท ตลอดจน
อุปสงค์ในที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงซึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงและจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนค่าก่อสร้าง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงฐานะทางการเงินของบริษัทที่อ่อนแอลงเมื่อเปรียบเทียบกับคุณภาพอันดับเครดิต อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจมีการปรับเปลี่ยนเป็น “Stable” หรือ “คงที่” หากบริษัทสามารถปรับปรุงผลประกอบการให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้และรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนเอาไว้ได้ในระดับไม่เกิน 1 เท่าในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง เป็นผู้ประกอบการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขนาดกลางซึ่งมีกลุ่มเป้าหมาย
เป็นลูกค้าที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ ตราสัญลักษณ์ “บ้านฟ้า” ของบริษัทเป็นที่ยอมรับในตลาดบ้านจัดสรรในบริเวณกรุงเทพฯ
ตอนเหนือ ณ เดือนพฤศจิกายน 2548 ตระกูลตันฑเทอดธรรมและเครือญาติเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโดยมีสัดส่วนรวมกันทั้งสิ้น 79% ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 13 โครงการ โดยมีราคาขายบ้านต่อหลังโดยเฉลี่ย 2-3 ล้านบาท
ผลประกอบการในปี 2548 ที่ผ่านมาของบริษัทค่อนข้างต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทมียอดขายรวม 1,524 ล้านบาท
ซึ่งลดลงอย่างมากจากยอดขาย 2,521 ล้านบาทในปี 2547 ยอดขายส่วนใหญ่มาจากโครงการในเขตกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ถึงแม้ว่าบริษัทได้เริ่มขยายโครงการไปยังเขตกรุงเทพฯ ตอนใต้และฝั่งตะวันตกตั้งแต่ปี 2545 ทว่าโครงการดังกล่าวมียอดขายต่ำกว่าที่คาดเนื่องจากเป็นทำเลที่บริษัทไม่คุ้นเคย อีกทั้งยังมีผลมาจากอุปสงค์ที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงและการแข่งขันที่รุนแรงในพื้นที่ดังกล่าว
อัตราการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง โดยบริษัทมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 34% สำหรับ
ปี 2548 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 32% ในปี 2547
ทริสเรทติ้งกล่าวว่าการแข่งขันในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่น้อยลงในขณะที่อุปสงค์ยังคงทรงตัวต่อไป ราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลทำให้กำไรของผู้ประกอบการลดลง ในขณะเดียวกัน นโยบายการปล่อยกู้ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นของธนาคารพาณิชย์จะเป็นปัจจัยจำกัดการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลให้อุปสงค์ในที่อยู่อาศัยชะลอตัวลง นอกจากนี้ สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมเนื่องจากผู้ซื้อบ้านอาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ออกไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะบรรเทาลงในระยะสั้นและน่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพียงชั่วคราว หลังจากนั้น อุปสงค์ในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในตลาดสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำก็คาดว่าจะคืนสู่ภาวะปกติ -- จบ