บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ (SSI073A, SSI083A) ของ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” เช่นเดิม โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนภายในประเทศของบริษัท ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับผู้บริโภคเหล็กคุณภาพสูง ตลอดจนภาวะตลาดที่ผู้ผลิตภายในประเทศได้รับการปกป้องในรูปของโควต้าและอากร และอุปสงค์ภายในประเทศที่มากพอ ในขณะที่จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนจากการแข่งขันที่รุนแรงจากทั้งผู้ประกอบการภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนลักษณะของอุตสาหกรรมเหล็กที่มีความ
ผันผวน รวมทั้งความเสี่ยงจากลักษณะการทำธุรกรรมที่โดยทั่วไปจะเป็นสัญญาซื้อขายเหล็กระยะสั้น (1-3 เดือน) รวมทั้งความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่มีสินค้าเพียงประเภทเดียวคือเหล็กรีดร้อนและมีโรงงานเพียงแห่งเดียว
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงโครงสร้างทางการเงินที่อ่อนแอของบริษัท บริษัทจำเป็นต้องปรับปรุงฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อลดทอนความผันผวนของรายได้ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาเหล็กที่แปรปรวน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในการบริหารสินค้าคงคลังให้เหมาะสมในช่วงที่ราคาเหล็กมีความผันผวนเป็นอย่างมาก
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนภายในประเทศทั้งหมด 3 ราย โดยบริษัท
สหวิริยาสตีลอินดัสตรี เป็นผู้นำตลาดทั้งในด้านปริมาณการผลิตและยอดขาย กระบวนการผลิตของบริษัทแตกต่างจากโรงงานผลิตเหล็กแบบครบวงจร (Integrated Mill) และโรงหลอมเหล็กขนาดเล็ก (Mini Mill) โดยที่บริษัทไม่ได้ทำการผลิตเหล็ก แต่นำเข้าเหล็กแท่งแบนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished Slab) ไปผ่านกระบวนการผลิตให้เป็นเหล็กแผ่นชนิดม้วน (Flat-rolled Coil) บริษัทมีโรงงานเพียงแห่งเดียวซึ่งตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือน้ำลึกในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การเลือกสถานที่ตั้งโรงงานมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนในการขนส่งทั้งในด้านการรับวัตถุดิบและการจัดส่งผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป บริษัทเน้นการตลาดภายในประเทศเป็นหลัก โดยกว่า 82% ของรายได้ในปี 2548 มาจากยอดขายภายในประเทศ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการคุ้มครองจากภาครัฐในระดับหนึ่ง โดยผู้ประกอบการภายในประเทศได้รับประโยชน์จากมาตรการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดของรัฐบาลซึ่งอยู่ระหว่าง 3.22%-128.11% สำหรับสินค้าเหล็กที่นำเข้าจากประเทศผู้ผลิต 14 ประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการภายในประเทศยังคงได้รับผลกระทบในด้านลบจากการนำเข้าเหล็กราคาถูกในปริมาณมากจากประเทศที่ไม่ถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การดำเนินงานที่กระจุกตัวอยู่ในโรงงานเพียงแห่งเดียวอาจทำให้บริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรี เกิดความเสี่ยงจากการปิดโรงงานโดยไม่ได้วางแผนเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความแน่นอนของกระแสเงินสดของบริษัท นอกจากนี้ การขาดกระบวนการผลิตที่ครบวงจรและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ยังส่งผลให้บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนด้านอุปทานและอุปสงค์ของเหล็กแท่งแบนและเหล็กรีดร้อนชนิดม้วนในตลาดโลกด้วย นโยบายของบริษัทในการสำรองเหล็กแท่งแบนขนาดต่างๆ ในปริมาณมากเพื่อให้เพียงพอกับการผลิตตามคำสั่งของลูกค้าส่งผลให้บริษัทมีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนในระดับสูงและมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การที่บริษัทไม่สามารถทำสัญญาขายระยะยาวยังส่งผลให้บริษัทประสบกับปัญหาความไม่แน่นอนทั้งในด้านราคาและปริมาณการขาย
ผลประกอบการของบริษัทในปี 2548 ต่ำกว่าคาด ในขณะที่รายได้ค่อนข้างคงที่ กำไรจากการดำเนินงานลดลงมากกว่า 50% จาก 6,444 ล้านบาทเหลือเพียง 3,084 ล้านบาทซึ่งเป็นผลมาจากเหล็กแท่งแบนคงคลังของบริษัทมีต้นทุนที่ซื้อมาในราคาแพง ประกอบกับราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก และต้นทุนการแปรรูปที่สูงขึ้นซึ่งเป็นผลจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงจาก 17.86% ในปี 2547 ไปอยู่ที่ 7.76% ในปี 2548 และอยู่ที่ 2.73% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 จากการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาเหล็กในตลาดตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 จนมาอยู่ระดับต่ำสุดเมื่อต้นปี 2549 ผลจากการตั้งสำรองในจำนวนที่สูงถึง 2,663 ล้านบาทในปี 2548 ทำให้บริษัทมียอดขาดทุนถึง 1,536 ล้านบาทในปี 2548 เปรียบเทียบกับกำไรสุทธิ 5,333 ล้านบาทในปี 2547 ภาระหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 12,278 ล้านบาทในปี 2547 ไปสู่ระดับสูงสุดของบริษัทที่ 30,670 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2548 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 26,821 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2549 ซึ่งภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานโดยเฉพาะในสินค้าคงคลัง ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงจากระดับ 37.94% และ 50.47% ในปี 2547 สู่ระดับ 58.43% และ -0.73% ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2549 ตามลำดับ
ทริสเรทติ้งเห็นว่าการที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จะไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต
ของบริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรีในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1 ปีก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทริสเรทติ้งจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะทบทวนอันดับเครดิตของบริษัทหากปรากฏว่ามีผลกระทบในระยะปานกลางต่อไป -- จบ
--------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
ผันผวน รวมทั้งความเสี่ยงจากลักษณะการทำธุรกรรมที่โดยทั่วไปจะเป็นสัญญาซื้อขายเหล็กระยะสั้น (1-3 เดือน) รวมทั้งความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่มีสินค้าเพียงประเภทเดียวคือเหล็กรีดร้อนและมีโรงงานเพียงแห่งเดียว
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงโครงสร้างทางการเงินที่อ่อนแอของบริษัท บริษัทจำเป็นต้องปรับปรุงฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อลดทอนความผันผวนของรายได้ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาเหล็กที่แปรปรวน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังมีความกังวลเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในการบริหารสินค้าคงคลังให้เหมาะสมในช่วงที่ราคาเหล็กมีความผันผวนเป็นอย่างมาก
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วนภายในประเทศทั้งหมด 3 ราย โดยบริษัท
สหวิริยาสตีลอินดัสตรี เป็นผู้นำตลาดทั้งในด้านปริมาณการผลิตและยอดขาย กระบวนการผลิตของบริษัทแตกต่างจากโรงงานผลิตเหล็กแบบครบวงจร (Integrated Mill) และโรงหลอมเหล็กขนาดเล็ก (Mini Mill) โดยที่บริษัทไม่ได้ทำการผลิตเหล็ก แต่นำเข้าเหล็กแท่งแบนกึ่งสำเร็จรูป (Semi-finished Slab) ไปผ่านกระบวนการผลิตให้เป็นเหล็กแผ่นชนิดม้วน (Flat-rolled Coil) บริษัทมีโรงงานเพียงแห่งเดียวซึ่งตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือน้ำลึกในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ การเลือกสถานที่ตั้งโรงงานมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนในการขนส่งทั้งในด้านการรับวัตถุดิบและการจัดส่งผลิตภัณฑ์เหล็กสำเร็จรูป บริษัทเน้นการตลาดภายในประเทศเป็นหลัก โดยกว่า 82% ของรายได้ในปี 2548 มาจากยอดขายภายในประเทศ ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการคุ้มครองจากภาครัฐในระดับหนึ่ง โดยผู้ประกอบการภายในประเทศได้รับประโยชน์จากมาตรการเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดของรัฐบาลซึ่งอยู่ระหว่าง 3.22%-128.11% สำหรับสินค้าเหล็กที่นำเข้าจากประเทศผู้ผลิต 14 ประเทศ อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการภายในประเทศยังคงได้รับผลกระทบในด้านลบจากการนำเข้าเหล็กราคาถูกในปริมาณมากจากประเทศที่ไม่ถูกเรียกเก็บอากรตอบโต้การทุ่มตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การดำเนินงานที่กระจุกตัวอยู่ในโรงงานเพียงแห่งเดียวอาจทำให้บริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรี เกิดความเสี่ยงจากการปิดโรงงานโดยไม่ได้วางแผนเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความแน่นอนของกระแสเงินสดของบริษัท นอกจากนี้ การขาดกระบวนการผลิตที่ครบวงจรและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ยังส่งผลให้บริษัทเผชิญกับความเสี่ยงจากความผันผวนด้านอุปทานและอุปสงค์ของเหล็กแท่งแบนและเหล็กรีดร้อนชนิดม้วนในตลาดโลกด้วย นโยบายของบริษัทในการสำรองเหล็กแท่งแบนขนาดต่างๆ ในปริมาณมากเพื่อให้เพียงพอกับการผลิตตามคำสั่งของลูกค้าส่งผลให้บริษัทมีความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนในระดับสูงและมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ การที่บริษัทไม่สามารถทำสัญญาขายระยะยาวยังส่งผลให้บริษัทประสบกับปัญหาความไม่แน่นอนทั้งในด้านราคาและปริมาณการขาย
ผลประกอบการของบริษัทในปี 2548 ต่ำกว่าคาด ในขณะที่รายได้ค่อนข้างคงที่ กำไรจากการดำเนินงานลดลงมากกว่า 50% จาก 6,444 ล้านบาทเหลือเพียง 3,084 ล้านบาทซึ่งเป็นผลมาจากเหล็กแท่งแบนคงคลังของบริษัทมีต้นทุนที่ซื้อมาในราคาแพง ประกอบกับราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนที่ปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก และต้นทุนการแปรรูปที่สูงขึ้นซึ่งเป็นผลจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลงจาก 17.86% ในปี 2547 ไปอยู่ที่ 7.76% ในปี 2548 และอยู่ที่ 2.73% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2549 จากการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องของราคาเหล็กในตลาดตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 จนมาอยู่ระดับต่ำสุดเมื่อต้นปี 2549 ผลจากการตั้งสำรองในจำนวนที่สูงถึง 2,663 ล้านบาทในปี 2548 ทำให้บริษัทมียอดขาดทุนถึง 1,536 ล้านบาทในปี 2548 เปรียบเทียบกับกำไรสุทธิ 5,333 ล้านบาทในปี 2547 ภาระหนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 12,278 ล้านบาทในปี 2547 ไปสู่ระดับสูงสุดของบริษัทที่ 30,670 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2548 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 26,821 ล้านบาท ณ เดือนมิถุนายน 2549 ซึ่งภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานโดยเฉพาะในสินค้าคงคลัง ส่งผลให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงจากระดับ 37.94% และ 50.47% ในปี 2547 สู่ระดับ 58.43% และ -0.73% ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2549 ตามลำดับ
ทริสเรทติ้งเห็นว่าการที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จะไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิต
ของบริษัทสหวิริยาสตีลอินดัสตรีในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1 ปีก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทริสเรทติ้งจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะทบทวนอันดับเครดิตของบริษัทหากปรากฏว่ามีผลกระทบในระยะปานกลางต่อไป -- จบ
--------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว