บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
คงเดิมที่ระดับ “BBB” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานทุนที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัท รวมทั้งยังสะท้อนแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์ในระยะปานกลางซึ่งน่าจะเกื้อหนุนการสร้างรายได้ให้บริษัทหลักทรัพย์ต่อไป อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งสภาพคล่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งคาดว่ายังคงมีความผันผวนในระดับสูง ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนสมมติฐานที่สภาวะตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีแนวโน้มที่ดีในระยะปานกลางแม้จะคาดว่าสภาพคล่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม ทั้งนี้ อันดับเครดิตในปัจจุบันของบริษัท อยู่บนสมมติฐานที่บริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ต่อไป และยังคงมีรายได้จากการบริหารสินทรัพย์ที่สม่ำเสมอจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย นอกจากนี้ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงทางการตลาดที่อาจเกิดจากการลงทุนและการขยายธุรกิจออกไปได้โดยไม่ทำให้ฐานเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ด้วยมูลค่าของสินทรัพย์ที่มากกว่า 6,400 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2548 ทำให้ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีฐานะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่อันดับที่ 2 ในประเทศไทย ซึ่งให้บริการครอบคลุมทั้งธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจวาณิชธนกิจ ตลอดจนธุรกิจการค้าและการลงทุนในหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ภายหลังจากการขายหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนในต่างประเทศไปในช่วงปี 2543-2546 บริษัทได้คืนทุนบางส่วนให้แก่ผู้ถือหุ้นในปี 2546 และเน้นการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ภายในประเทศมากขึ้น ในด้านธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์นั้น เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามามากขึ้นและมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์จากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น ซึ่งในส่วนของนักลงทุนสถาบันนั้นบริษัทยังมีความสามารถในการแข่งขันที่ไม่สูงมาก จึงทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทลดลงเหลือ 3.7% ในปี 2548 จาก 4.5% ในปี 2547 และ 5.2% ในปี 2546 โดยลดอันดับลงมาอยู่ที่อันดับ 8 จากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด 41 แห่ง แม้ว่าบริษัทจะมีผลประกอบการที่ถดถอยลง แต่ทริสเรทติ้งยังคงยืนยันอันดับเครดิตของบริษัทในระดับเดิมเนื่องจากทริสเรทติ้งได้พิจารณาถึงธรรมชาติที่ผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์ไว้แล้ว ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มที่ดีของตลาดหลักทรัพย์ในระยะปานกลางจะยังคงเกื้อหนุนให้บริษัทขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงถูกกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์
ในส่วนของฐานรายได้จากค่าธรรมเนียมนั้น ทริสเรทติ้งกล่าวว่า แม้ว่า บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้มีการขยายงานด้านวาณิชธนกิจมาตั้งแต่ปี 2546 แต่บริษัทยังต้องใช้เวลาในการสร้างรายได้ที่มากพอจากธุรกิจนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการรับรู้รายได้ในปริมาณที่ดีและสม่ำเสมอจาก บลจ. วรรณ และบริษัทยังมีการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งสร้างรายได้ในรูปของกำไรจากเงินลงทุน ดอกเบี้ย และเงินปันผล นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถใช้ประโยชน์จากหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนบางส่วนโดยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินชนิดใหม่ๆ เพื่อให้มีรายได้ในรูปของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียม รวมทั้งเพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นด้วย แม้ว่าบริษัทจะประกาศผลกำไรสุทธิจำนวน 156 ล้านบาทในงวดไตรมาสแรกของปี 2549 แต่ผลกำไรสิ้นงวดในปี 2548 ที่จำนวน 159 ล้านบาทของบริษัทลดลงถึง 50% จากปี 2547 โดยเป็นผลมาจากส่วนแบ่งทางการตลาดนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง รวมทั้งจากการขาดทุนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประมาณ 13 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูง โดยบริษัทมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ที่ 67.6% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 55.5% ของบริษัทหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด 20 รายแรกของปี 2548
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ เดือนธันวาคม 2548 บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีส่วนของผู้ถือหุ้นมากกว่า 4,200 ล้านบาทซึ่งมากเพียงพอสำหรับการดำเนินงาน บริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2548 เท่ากับ 1.52 เท่า ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่เท่ากับ 1.55 เท่า อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีแผนในการกู้ยืมเงินจากธนาคารและออกตราสารหนี้เพื่อนำมาขยายธุรกิจในอนาคต -- จบ
--------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามไม่มิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัท
และแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
คงเดิมที่ระดับ “BBB” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานทุนที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่เพียงพอของบริษัท รวมทั้งยังสะท้อนแนวโน้มของตลาดหลักทรัพย์ในระยะปานกลางซึ่งน่าจะเกื้อหนุนการสร้างรายได้ให้บริษัทหลักทรัพย์ต่อไป อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รวมทั้งสภาพคล่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งคาดว่ายังคงมีความผันผวนในระดับสูง ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนสมมติฐานที่สภาวะตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีแนวโน้มที่ดีในระยะปานกลางแม้จะคาดว่าสภาพคล่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความผันผวนเป็นอย่างมากก็ตาม ทั้งนี้ อันดับเครดิตในปัจจุบันของบริษัท อยู่บนสมมติฐานที่บริษัทจะสามารถรักษาตำแหน่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เอาไว้ได้ต่อไป และยังคงมีรายได้จากการบริหารสินทรัพย์ที่สม่ำเสมอจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย นอกจากนี้ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงทางการตลาดที่อาจเกิดจากการลงทุนและการขยายธุรกิจออกไปได้โดยไม่ทำให้ฐานเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ด้วยมูลค่าของสินทรัพย์ที่มากกว่า 6,400 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2548 ทำให้ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีฐานะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ขนาดใหญ่อันดับที่ 2 ในประเทศไทย ซึ่งให้บริการครอบคลุมทั้งธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ธุรกิจวาณิชธนกิจ ตลอดจนธุรกิจการค้าและการลงทุนในหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ภายหลังจากการขายหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนในต่างประเทศไปในช่วงปี 2543-2546 บริษัทได้คืนทุนบางส่วนให้แก่ผู้ถือหุ้นในปี 2546 และเน้นการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ภายในประเทศมากขึ้น ในด้านธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์นั้น เนื่องจากมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามามากขึ้นและมีปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์จากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น ซึ่งในส่วนของนักลงทุนสถาบันนั้นบริษัทยังมีความสามารถในการแข่งขันที่ไม่สูงมาก จึงทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทลดลงเหลือ 3.7% ในปี 2548 จาก 4.5% ในปี 2547 และ 5.2% ในปี 2546 โดยลดอันดับลงมาอยู่ที่อันดับ 8 จากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด 41 แห่ง แม้ว่าบริษัทจะมีผลประกอบการที่ถดถอยลง แต่ทริสเรทติ้งยังคงยืนยันอันดับเครดิตของบริษัทในระดับเดิมเนื่องจากทริสเรทติ้งได้พิจารณาถึงธรรมชาติที่ผันผวนของธุรกิจหลักทรัพย์ไว้แล้ว ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มที่ดีของตลาดหลักทรัพย์ในระยะปานกลางจะยังคงเกื้อหนุนให้บริษัทขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงถูกกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงระหว่างบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และความผันผวนของตลาดหลักทรัพย์
ในส่วนของฐานรายได้จากค่าธรรมเนียมนั้น ทริสเรทติ้งกล่าวว่า แม้ว่า บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) ได้มีการขยายงานด้านวาณิชธนกิจมาตั้งแต่ปี 2546 แต่บริษัทยังต้องใช้เวลาในการสร้างรายได้ที่มากพอจากธุรกิจนี้ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการรับรู้รายได้ในปริมาณที่ดีและสม่ำเสมอจาก บลจ. วรรณ และบริษัทยังมีการลงทุนในหลักทรัพย์ซึ่งสร้างรายได้ในรูปของกำไรจากเงินลงทุน ดอกเบี้ย และเงินปันผล นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถใช้ประโยชน์จากหลักทรัพย์ที่บริษัทลงทุนบางส่วนโดยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินชนิดใหม่ๆ เพื่อให้มีรายได้ในรูปของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียม รวมทั้งเพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นด้วย แม้ว่าบริษัทจะประกาศผลกำไรสุทธิจำนวน 156 ล้านบาทในงวดไตรมาสแรกของปี 2549 แต่ผลกำไรสิ้นงวดในปี 2548 ที่จำนวน 159 ล้านบาทของบริษัทลดลงถึง 50% จากปี 2547 โดยเป็นผลมาจากส่วนแบ่งทางการตลาดนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง รวมทั้งจากการขาดทุนจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประมาณ 13 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ค่อนข้างสูง โดยบริษัทมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ที่ 67.6% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ระดับ 55.5% ของบริษัทหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุด 20 รายแรกของปี 2548
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ เดือนธันวาคม 2548 บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีส่วนของผู้ถือหุ้นมากกว่า 4,200 ล้านบาทซึ่งมากเพียงพอสำหรับการดำเนินงาน บริษัทมีอัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นปี 2548 เท่ากับ 1.52 เท่า ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่เท่ากับ 1.55 เท่า อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีแผนในการกู้ยืมเงินจากธนาคารและออกตราสารหนี้เพื่อนำมาขยายธุรกิจในอนาคต -- จบ
--------------------------------------------------------------------------------------------
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามไม่มิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัท
และแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว