ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตเดิม “ธ. กรุงศรีอยุธยา” องค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน “AA-” หุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ “A+” พร้อมจัดอันดับหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ใหม่ “A+”

ข่าวทั่วไป Monday May 24, 2010 18:57 —ทริส เรตติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “AA-” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันของธนาคารที่ระดับ “AA-” และ “A+” ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิชุดใหม่ของธนาคารในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาทที่ระดับ “A+” ด้วย ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิตยังเป็น “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดในธุรกิจหลัก ตลอดจนฐานะการเงินและคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจ (Franchise Value) ที่เติบโต อันดับเครดิตยังได้รับแรงเสริมจากการสนับสนุนที่ต่อเนื่องจาก GE Capital International Holdings Corporation (GECIH) ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของธนาคารในสัดส่วน 33% อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ธนาคารมีอยู่ในระดับสูง รวมถึงภาวะการแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ทวีความรุนแรง ตลอดจนการเมืองภายในประเทศและสถานการณ์ทางการเงินในต่างประเทศที่ยังไม่มีเสถียรภาพอันอาจจำกัดความสามารถในการขยายธุรกิจและการทำกำไรของธนาคาร

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่าธนาคารจะสามารถรักษาฐานะทางการเงินเอาไว้ได้และปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ให้ดีขึ้นในระยะปานกลาง อีกทั้งยังคาดว่าธนาคารจะยังคงได้ประโยชน์จากการประสานจุดแข็งทางธุรกิจจากกลุ่ม GE ในการเพิ่มสินเชื่อที่สร้างกำไรและขยายส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจสินเชื่อรายย่อยซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่มูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจในระยะยาวแก่ธนาคาร

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีฐานะเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ลำดับที่ 5 ของประเทศไทยโดยมีส่วนแบ่งตลาดของสินทรัพย์จำนวน 9% ของเงินให้สินเชื่อ 10% และเงินฝาก 8% ณ เดือนมีนาคม 2553 สินทรัพย์ตามงบการเงินรวมของธนาคารมีจำนวน 821,613 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 12% จาก 601,985 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2552 กลยุทธ์การใช้จุดแข็งของกลุ่ม GE ซึ่งมีความชำนาญในธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อย (Retail Banking) ช่วยให้ธนาคารสามารถเติบโตได้ทั้งในแบบปกติตามลักษณะของธุรกิจ (Organic Growth) และแบบก้าวกระโดดผ่านการซื้อกิจการในช่วงปี 2551 ถึงปี 2552 ธนาคารซื้อพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์จาก บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ AYCAL มูลค่า 75.3 พันล้านบาทในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ตามด้วยการซื้อพอร์ตสินเชื่อเพื่อรายย่อย รวมทั้งสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อขนาดย่อม (Micro Loans) จำนวนรวม 23.4 พันล้านบาทจากบริษัทในเครือของ American International Group, Inc. (AIG) จำนวน 3 แห่งในเดือนเมษายน 2552 และเดือนกันยายน 2552 นอกจากนี้ ธนาคารยังซื้อพอร์ตสินเชื่อเพื่อรายย่อยจำนวน 45.8 พันล้านบาทจาก จีอี มันนี่ ประเทศไทย (GEMT) ในเดือนพฤศจิกายน 2552 ด้วย

การซื้อกิจการดังกล่าวสร้างความแข็งแกร่งทางการตลาดให้แก่ธนาคารในธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อยและทำให้เกิดการกระจายตัวของสินเชื่อโดยมีสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูงมากขึ้น (สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล) ณ เดือนมีนาคม 2553 ธนาคารมีสัดส่วนของสินเชื่อเพื่อรายย่อย 42% ของสินเชื่อรวม ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 22% ในปี 2550 ในขณะที่สัดส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อมต่อสินเชื่อรวมลดลงตามสัดส่วนมาอยู่ในระดับ 30% และ 28% ตามลำดับจาก 34% และ 44% ในส่วนของสินเชื่อเพื่อรายย่อย ธนาคารกลายเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจบัตรเครดิต อีกทั้งยังเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่อันดับ 2 ในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และเป็นรายใหญ่ที่สุดในธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้ว

ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดความรู้และระบบปฎิบัติงานหลังจากเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม GE

อีกทั้งยังประสบความสำเร็จในการปรับปรุงองค์กรในช่วงปี 2550-2552 ปัจจุบันธนาคารกำลังอยู่ในระยะของการสร้างประโยชน์สูงสุดและเร่งการขยายตัวของธุรกิจในช่วงปี 2553-2555 โดยมุ่งเน้นการรวมธุรกิจประเภทเดียวกันและระบบสนับสนุนที่ซ้ำซ้อนในกลุ่มธนาคารเข้าด้วยกัน รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพในการเสนอบริการข้ามสายผลิตภัณฑ์ ผลสำเร็จที่จะได้รับคาดว่าจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งของมูลค่าเครือข่ายทางธุรกิจของธนาคารได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม คณะผู้บริหารยังคงให้ความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ และสร้างความเติบโตของสินทรัพย์ที่สร้างกำไรอย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจและกฎเกณฑ์ของทางการในอนาคต

เมื่อพิจารณาถึงคุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารประสบความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ซึ่งคงค้างมานานและยังสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดีขึ้น สัดส่วนสินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระมากกว่า 3 เดือนต่อสินเชื่อรวมลดลงจาก 10.6% ณ เดือนมีนาคม 2552 เป็น 8.4% ณ เดือนมีนาคม 2553 ธนาคารมีสัดส่วนสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อจัดชั้นที่ค้างชำระเกิน 3 เดือน ยอดคงค้างสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างหนี้ และสินทรัพย์รอการขาย) คิดเป็น 0.86 เท่าของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคาร ณ เดือนมีนาคม 2553 ซึ่งเป็นระดับที่สอดคล้องกับระดับเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทั้ง 6 แห่ง สัดส่วนดังกล่าวบ่งชี้ถึงความเพียงพอของเงินกองทุนและค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารในการรองรับการถดถอยของคุณภาพสินทรัพย์

ในด้านของเงินทุนหนี้สิน ธนาคารมีการกระจายตัวของแหล่งเงินทุนเพื่อให้โครงสร้างของสินทรัพย์และหนี้สินมีความสอดคล้องกันมากขึ้น ณ เดือนมีนาคม 2553 ธนาคารมีเงินทุนรวม 774,203 ล้านบาท ซึ่ง 69% เป็นเงินฝาก ตามด้วยเงินกู้ยืมจากตลาดเงินระหว่างธนาคาร 8% เงินกู้ยืมระยะยาวซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้ 6% เงินกู้ยืมระยะสั้นและตั๋วแลกเงิน 5% และส่วนของผู้ถือหุ้น 12% จากยอดเงินฝากรวมของธนาคาร ณ เดือนมีนาคม 2553 เป็นเงินฝากเผื่อเรียกและออมทรัพย์ในสัดส่วน 39% เพิ่มขึ้นจาก 33% ในปี 2551 และเป็นเงินฝากประจำอัตราดอกเบี้ยคงที่ในสัดส่วน 61%

ธนาคารมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งเพื่อใช้สนับสนุนการขยายธุรกิจและรองรับความสูญเสียที่ไม่อาจคาดการณ์ได้จากความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงภาวะแวดล้อมทางธุรกิจในระยะปานกลาง อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของธนาคารลดลงเล็กน้อยจาก 11.75% ณ เดือนมีนาคม 2552 เป็น 11.53% ณ เดือนมีนาคม 2553 เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสินเชื่อหลังจากการซื้อกิจการจากบริษัทอื่นเป็นสำคัญ อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงก็ลดลงจาก 15.57% เป็น 14.50% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 15.65% ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ทั้ง 6 แห่งเล็กน้อย เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันชุดใหม่จะใช้เป็นแหล่งเงินทุนระยะยาวเพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การขยายตัวเชิงรุกในธุรกิจสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและย่อม และสินเชื่อเพื่อรายย่อย และจะใช้เสริมความแข็งแกร่งของเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของธนาคาร

ความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในปี 2552 และไตรมาสแรกของปี 2553 ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2551 โดยมีกำไรสุทธิ 6,659 ล้านบาทในปี 2552 เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 55% จากปี 2551 ธนาคารรายงานกำไรสุทธิ 2,070 ล้านบาทสำหรับไตรมาสแรกของปี 2553 เพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 1,037 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2552 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สินทรัพย์ที่สร้างผลกำไรสูงเติบโตอย่างต่อเนื่องและความสำเร็จในการลดต้นทุนของธนาคารเป็นสำคัญ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยและอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยในปี 2552 อยู่ในระดับ 0.87% และ 7.44% ตามลำดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 0.61% และ 5.23% ในปี 2551 อัตราส่วนดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2552 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 0.26% และ 2.21% ตามลำดับ จาก 0.14% และ 1.20% ทริสเรทติ้งกล่าว — จบ

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY)

อันดับเครดิตองค์กร: ..... คงเดิมที่ AA-
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
BAY106A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 16,844 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553 ..... คงเดิมที่ AA-
BAY116A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 5,049 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 ..... คงเดิมที่ AA-
BAY13NA: หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกัน 12,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 ..... คงเดิมที่ A+
หุ้นกู้ด้อยสิทธิไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2563 ..... A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: ..... Stable (คงที่)
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2553 ห้ามมิให้บุคคลใด ใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต  ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ   แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ  ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน  บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ