นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ เปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส เทคโนโลยี ชนิดผู้ลงทุนทั่วไป (TUSTECH-A) และชนิดหน่วยลงทุนเพื่อการออม (TUSTECH - SSF) 9-20 กันยายน 2565
หุ้นเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในหุ้นเมกะเทรนด์ของโลก มีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบันอย่างขาดไม่ได้ และเป็นหนึ่งในกลุ่มหุ้นที่รายได้เติบโตได้ดีในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ปัจจัยลบทั้งอัตราเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เคยกดดันราคาหุ้นเทคโนโลยีจนราคาปรับลงแรงที่สุดในรอบ 15 ปี กำลังหมดไป เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวอายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และค่อยๆ ปรับตัวลดลงจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย
ด้านการปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) นั้น ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ลงทุนทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 เป็นต้นไปเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มชะลอตัวทำให้เฟด อาจกลับมาหยุดการขึ้นดอกเบี้ย หรืออาจลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง
ดังนั้น บลจ.ทิสโก้ มองว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูงเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนหุ้นผู้นำเทคโนโลยีที่ราคาหุ้นผันผวนต่ำ ฐานการเงินแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานมีโอกาสเติบโตได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ จึงเปิดเสนอขาย กอง TUSTECH-A และ TUSTECH - SSF ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน The Technology Select Sector SPDR (กองทุนหลัก) ซึ่งเป็นกองทุนรวม ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ลงทุนในหุ้นหมวดอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ที่อยู่ในดัชนี S&P 500
"หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับมาฟื้นตัวแรงโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรม เพราะกำไรเติบโตได้ดีแม้จะมีวิกฤติเศรษฐกิจถดถอย โดยข้อมูลจากบลูมเบิร์กวันที่ 26 กรกฎาคม 2565 พบว่าอัตราการเติบโตของกำไรในระยะยาว (CAGR) ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเติบโตในระดับ 10% สูงกว่าตลาดหุ้นรวม (S&P500) มีระดับ CAGR ที่ 6.9% ต่อปี
และยิ่งหากเจาะลึกลงไปที่อัตราการเติบโตของกำไรหุ้นกลุ่ม Information Technology พบว่ามีอัตราการเติบโตของกำไรในระดับสูงอย่างโดดเด่น ข้อมูลจากบลูมเบิร์กวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ระบุว่าตั้งแต่ปี 2552-2564 หุ้นกลุ่ม Information Technology มีกำไรต่อหุ้น (EPS) เติบโตเฉลี่ยต่อปี อยู่ที่ 22% และมีรายได้เติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 8% ต่อปี ขณะที่ในระหว่างปี 2564-2567 คาดว่าหุ้นกลุ่มนี้จะมีรายได้เติบโต 8% ต่อปี และมีกำไรเติบโต 13.3% ต่อปี" นายสาห์รัชกล่าว
ตัวอย่างหุ้นที่กองทุนหลักเข้าไปลงทุน เช่น Apple บริษัทเทคโนโลยีที่มีรายได้อันดับหนึ่งในสหรัฐฯ และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยปี 2564 ครองส่วนแบ่งการตลาดของสมาร์ทโฟนไปถึง 60% และยังแสวงหานวัตกรรมและธุรกิจใหม่ๆ เสมอ โดยปี 2564 บริษัทได้ทุ่มเงินเพื่อวิจัยและพัฒนานวัตกรรมใหม่กว่า 3,348 ล้านดอลลาร์ฯ ขณะที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมารายได้ประจำปีของ Apple เพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า (ที่มา: Bloomberg, Apple, Statistica, 2565) อีกตัวอย่างคือ Microsoft หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่มี ฐานลูกค้าทั่วโลก ทั้งรายย่อยและรายใหญ่ล้วนใช้บริการของ Microsoft ในทุกๆ วัน ซึ่งรายได้ตั้งแต่ปี 2545-2565 โต 700% (ที่มา: statista, 2565)