กรุงเทพฯ--23 ม.ค.--เจเอสแอล
ในที่สุดปริศนาอันซ่อนเร้นของภาพวาดหญิงสาวสวยบริสุทธิ์ ก็ถูกคลี่คลายออกมาด้วยความพยายามพากเพียรกว่า 20 ปี รวมทั้งยังต้องสละทรัยพ์สินที่ดินอีกมหาศาล โดย สิทธา เธียรอุกฤษณ์ นักธุรกิจและนักสะสมงานศิลปะ ที่ทุ่มเทค้นหาหลักฐานมาพิสูจน์และสนับสนุนให้เชื่อว่า ภาพนี้ คือภาพ “ออริจินัล คาร์เมน”หนึ่งในงานเขียนชิ้นเยี่ยมฝีมือของ “ปิกัสโซ่” ศิลปินเอก ชื่อก้องโลกชาวสเปน ซึ่งวาดภาพนี้เมื่ออายุ 16 ปี เพียงเท่านั้นก็ทำให้ภาพนี้มีมูลค่าทะยานสูงขึ้นกว่า สามพันห้าร้อยล้านบาทแล้ว หากแต่คุณค่าสูงสุดของการสืบค้นเบื้องหลังภาพนี้ กลับกลายเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยอันยิ่งใหญ่ ภายใต้ความเสียสละของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยาม ที่คนไทยรุ่นหลังต้องเตือนตนให้จงหนัก ว่าควรรักชาติเยี่ยงใด!!
“สุริวิภา” ร่วมสืบค้นเรื่องราวภาพ ‘ออริจินัล คาร์เมน’ นับแต่การได้ครอบครองภาพมาจากตระกูลเก่าแก่ กรอบภาพที่มีตราลัญจกรประจำรัชกาล ไปจนถึงภาพที่ใช้หนุนด้านหลังซึ่งมี ลายเซ็นต์ของพระยาภูบาลบันเทิง การสืบค้นประวัติการวาดภาพของศิลปินดัง การเทียบเคียงลายเซ็น ลายเส้น ลายฝีแปรงของปิกัสโซ่ โดยมี สุจีรา เธียรอุกฤษณ์ ผู้มีความเชื่อทางวิทยาศาสตร์เป็นผู้คอยถกเถียงหาข้อสรุปกับผู้เป็นพ่อ พลตำรสจตรีนายแพทย์วิชิต สมาธิวัฒน์ อดีตผู้บังคับการสถาบันนิติเวช ศาสตราจารย์ ธนะ เลาหกัยกุล อดีตคณบดีคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมพิสูจน์...
สิทธา เธียรอุกฤษณ์ เล่ากับสุริวิภาว่า “ตอนแรกผมชอบสะสมพระเครื่อง แล้วค่อยมาเริ่มสะสมงานศิลปะ ตอนที่ทำงานธนาคารกสิกรไทย อยู่ในส่วนพิสูจน์ลายเซ็น เมื่อปี 2526 ผมซื้อภาพนี้มาเพราะปกติภาพวาดจะมีแค่ 2 มิติ แต่ภาพนี้ผมรู้สึกว่ามีอะไรมากกว่านั้น เป็นภาพที่ให้อารมณ์จริงๆ แล้วตอนหลังจึงสังเกตเห็นลายเซ็น มีความน่าจะเป็นว่าเป็นของปิกัสโซสูงมาก จากนั้นเลยเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ว่าช่วงที่ปิกัสโววาดภาพเหมือน ปี 1898 เป็นช่วงที่ปิกัสโซที่สเปน ค้นต่อจนรู้ว่าในสมัยนั้นคนไทยใครบ้างที่เดินทางไปสเปน ก็ทราบว่าช่วงปี 1897 เป็นช่วงที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้น และเสด็จฯสเปนด้วย ประมาณกลางตุลาคม ผมก็ย้อนกลับไปศึกษาว่า ช่วงนั้นปิกัสโซอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่แมดริกพอดีเหมือนกัน ไปเรียนหนังสือ ใช้เวลาว่างในการวาดรูป ก็เริ่มเห็นความเป็นไปได้ จนผมก็ได้เห็นพระราชสาส์นฉบับหนึ่ง ซึ่งได้พระราชทานให้กับคณะเดินทางพร้อมกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ แล้วผมก็ได้ไปค้นหนังสือที่สเปนก็ได้เจอหนังสือที่ตอบกลับ พระองค์ท่านตอบกลับไป มีช่วงหนี่งที่ว่า
“ขอบคุณแทนลูกและน้องที่ได้ให้ภาพเหมือนมา” นั่นแสดงว่าตอนนั้นได้มีการรับภาพมาแล้ว ซึ่งคำว่า ภาพเหมือน คือ Portrait นั่นเอง เป็นจุดที่ทำให้กลับไปค้นคว้ามากขึ้น ตอนนั้นผมเองก็ไม่ได้บอกว่าภาพนี้เป็นภาพของ ปิกัสโซ แต่ตอนหลังที่บอกว่าภาพนี้เป็นของจริง ก็เพราะว่าหลักฐานทุกอย่างยืนยันได้ แล้วผมมาเจอเอกสารบางชิ้นในปี 2459 หรือประมาณ ค.ศ.1916 ซึ่งเป็นสมัยกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้มีการประกวดภาพ ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าการอวดภาพ ก็ได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับภาพนี้เข้าไปด้วย นั่นคือมีการเขียนบรรยายถึง ว่ามีภาพหญิงพาสเทล ของนายฟอนโกโซ ของพระยาภูบาลบันเทิง หลักฐานที่มากับภาพมี 2 อย่าง คือ กรอบภาพที่มีตราลัญจกร กับภาพการประชุมเทศาภิบาลพร้อมลายเซ็นซึ่งภาพถ่ายนี้ถูกปิดไว้ข้างหลังภาพนี้ ค้นต่อจนรู้ว่าท่านพระยาภูบาลบันเทิงนั้นแป็นใครถึงได้ครอบครองภาพนี้ได้ ก็ทราบว่าในสมัย ร. 6 นั้นมีการเรี่ยไรโดยเอาทรัพย์สินส่วนพระองค์มาประมูลขายเพื่อนำรายได้ทั้งหมดมาซื้อเรือรบหลวง เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1ก็เลยเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่สำคัญ
ผมคิดว่า ผมคิดด้วยเหตุและผล การศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของข้อมูลและหลักฐาน เหมือนกับการที่เราศึกษาโบราณคดี ไม่เหมือนกับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งสามารถที่จะคลาดเคลื่อนได้ สำหรับภาพนี้มันเก่าแก่แน่นอน แต่ว่ามันเป็นของ ปิกัสโซ จริงหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ จนไปเจอภาพ “คาร์เมน” ที่ Picusso Musuem ที่เมืองบาร์เซโลนา ภาพนั้นก็มีลักษณะที่ใกล้เคียงกันมาก ขนาดใกล้เคียงกัน เมื่อผมนำภาพมาทำโครงสร้างก็ใกล้เคียงกันมาก จึงเป็นไปได้ยากมากถ้าคน 2 คนจะมาวาดภาพได้เหมือนกันขนาดนี้ มันควรจะเป็นคนวาดคนเดียวกันมากกว่า แล้วจึงเริ่มเอาลายเซ็นในภาพไปพิสูจน์ต่อ ก็ส่งไปพิสูจน์ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมคิดว่า ปิกัสโซคิดถึงรูปนี้ตลอดเวลาที่หายไป มีการทำหนังสือ ปิกัสโซ women เขาทำรูปหล่อรูปหนึ่งแล้วบอกว่ารูปหล่อรูปนี้เหมือนกับปิกัสโซได้คิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งอยู่”
ยังมีเรื่องราวต่อเนื่องที่สนุกสนานให้ร่วมสืบค้นได้ใน “สุริวิภา” ศุกร์ที่ 25 มกราคม สี่ทุ่ม ทางโมเดิร์นไนท์ทีวี